เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน คาดการณ์ว่า คริสเตียโน โรนัลโด้ อาจจะไม่สามารถเล่นฟุตบอลโลก 2026 ได้

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน (Sir Alex Ferguson) ตำนานผู้จัดการทีมของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (Manchester United) ได้แสดงความคิดเห็นว่า คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (Cristiano Ronaldo) น่าจะไม่ลงเล่นในฟุตบอลโลก 2026 อีกต่อไป เขายังเชื่อว่าเรื่องการคว้าแชมป์ไม่ได้เป็นแรงผลักดันที่สำคัญสำหรับ โรนัลโด้ เหมือนในอดีต เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยังกำหนดว่า ยูโร 2024 จะเป็นทัวร์นาเมนต์ระดับทีมชาติรายการสุดท้ายของ โรนัลโด้

ก่อนหน้านี้มีการตั้งประเด็นเกี่ยวกับการที่ โรนัลโด้ ควรหรือไม่ควรที่จะเข้าร่วมยูโร 2024 เมื่อพิจารณาถึงอายุของเขาที่มีถึง 39 ปี และไม่นานมานี้ ดาวเตะจาก อัล-นาสเซอร์ (Al-Nassr) ก็ได้ยอมรับเองว่านี่จะเป็น ยูโร สมัยสุดท้ายของเขา 

เมื่อถูกถามถึงความเป็นไปได้ที่ โรนัลโด้ จะลงเล่นในฟุตบอลโลก 2026 โดย สปอร์ตส์บิลด์ (SportBild) สื่อของเยอรมนี (Germany) เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “ผมนึกภาพไม่ออกว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นได้ ในอีกไม่กี่ปีต่อจากนี้ฟุตบอลจะเล่นกันในแบบที่เร็วกว่าเดิมอีก และจะใช้ความปราดเปรียวกันมากขึ้น”

เซอร์ อเล็กซ์ยังชี้ให้เห็นถึงเรื่องที่สำคัญว่า

“นักเตะในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า จำเป็นต้องเป็นคนที่ตัวเล็กกว่าในอดีต และสำหรับคนที่เป็นกองหน้าแล้ว การที่จะยังสามารถเล่นในระดับสูงสุดได้เมื่ออายุมากขึ้นนั้นเป็นเรื่องยากมาก ต่างจากกองหลังโดยสิ้นเชิง การต้องแย่งตำแหน่งในสนามที่ใช้ทั้งความคล่องแคล่วและความแข็งแรงเป็นสิ่งที่ท้าทายมากสำหรับนักเตะวัยใกล้สี่สิบปี”

เฟอร์กูสันยังเสริมว่า “ทุกวันนี้ โรนัลโด้ ไม่ได้มีเรื่องแชมป์เป็นแรงผลักดันหลักอีกต่อไปแล้ว หลังจากที่เขาประสบความสำเร็จมามากมายจนนับไม่ถ้วน การคว้าแชมป์อีกแค่ 1 หรือ 2 รายการคงไม่ได้มีความหมายมากมายกับเขาอีกแล้ว เพราะเขามีเส้นทางการค้าแข้งที่ยอดเยี่ยมและประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล”

โรนัลโด้ เป็นหนึ่งในนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล แต่เมื่อพูดถึงแรงจูงใจในการคว้าแชมป์ ณ จุดนี้ ผมเชื่อว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ขับเคลื่อนเขาอีกต่อไปแล้ว เขาได้พิสูจน์ตัวเองมาแล้วทั้งกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เรอัล มาดริด (Real Madrid) และ ทีมชาติโปรตุเกส (Portugal)

การเล่นฟุตบอลในระดับสูงเช่นนี้

ยิ่งไปกว่านั้น การแข่งขันในยุคปัจจุบันนั้นใช้ความเร็วและความปราดเปรียวมากขึ้นทุกปี ซึ่งแตกต่างจากแต่ก่อนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ การแทงบอลสเต็ป ในการวางแผนและตัดสินใจของนักเตะ ซึ่งเป็นความท้าทายใหม่ที่นักเตะในยุคนี้ต้องเผชิญ

กล่าวอย่างสรุป

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันเชื่อว่า สำหรับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (Cristiano Ronaldo) การตั้งเป้าหมายครั้งสุดท้ายในการแข่งขันยูโร 2024 น่าจะเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผลมากที่สุด และการที่เขาจะตัดสินใจเลิกเล่นในระดับนานาชาติหลังจากทัวร์นาเมนต์นี้ ทั้งนี้ในขณะที่เรื่องการแแข่งขัน แทงบอลสเต็ป และความมุ่งมั่นของนักเตะยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักเตะรุ่นหลัง โรนัลโด้ ได้ทิ้งรอยเท้าอันยิ่งใหญ่ไว้ในสังเวียนฟุตบอลระดับโลกอย่างไม่ต้องสงสัย

ในปัจจุบัน คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (Cristiano Ronaldo) ยังคงเป็นตัวอย่างสำหรับนักเตะทั่วโลก ทั้งเรื่องการทำงานหนักและความสำเร็จที่ไม่เหมือนใคร แต่การพักสายอาชีพในการแข่งขันระดับสูงสุดเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึง และบางที ยูโร 2024 จะเป็นบทบาทสุดท้ายที่เราได้เห็น โรนัลโด้ ระเบิดฟอร์มยอดเยี่ยมในทัวร์นาเมนต์ระดับนานาชาติ

 

ข้อดีของ มาร์ติน เบรทเวธ

ข้อดีของ มาร์ติน เบรทเวธ

เกมบาร์เซโลน่า ชนะเซบีญ่า 0-2 เมื่อคืนนี้ถือว่าสำคัญมาก เพราะนั่นทำให้พวกเค้าสามารถขึ้นไปรั้งรองจ่าฝูงได้ชั่วคราว หากจังหวะโอกาสดี พวกเค้าก็มีโอกาสจะเบียดไปถึงจ่าฝูงได้เหมือนกัน ในเกมนี้ เมสซี่ ยังคงความยอดเยี่ยมเหมือนเดิม แต่ว่าอีกคนหนึ่งที่หลายคนมักจะบ่นก็คือ มาร์ติน เบรทเวธ หมอนี่มันมีดีอย่างไร ดูทรงไม่น่าอยู่ต่อได้ เรามาดูข้อดีของเค้า

เค้ามาเพื่อสำรอง

ต้องยอมรับก่อนว่า การมาของ มาร์ติน เป็นการมาแบบฉุกเฉิน เนื่องจากตอนนั้น อุสมาน เด็มเบเล่ บาดเจ็บยาว ทำให้ทีมขาดกองหน้าก็เลยขอซื้อนักเตะเพื่อมาแก้ปัญหานั้น นั่นทำให้ตอนนั้น บาร์ซา ไม่มีตัวเลือกมากนัก (เป็นการซื้อนอกเวลาซื้อขาย) ยังดีที่สุดท้ายได้เค้ามาร่วมทีม ว่ากันตามตรง คุณภาพของเค้าการมาบาร์ซา อาจจะไม่เข้ากันแต่มาได้ด้วยสถานการณ์บังคับมากกว่า แล้วเค้าก็รู้หน้าที่ บทบาทตัวเองดี เค้าแทบไม่มีอาการงอแง หรือบ่นเลย ยอมรับบทบาทตัวสำรองเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นข้อดีที่หายากมาก

เล่นบอลกับพื้นที่แคบ

จากเกมกับ เซบีญ่า มาร์ติน เบรทเวธ เองก็มีข้อดีของเค้าเองเหมือนกัน อย่างแรกที่เห็นเลย เค้าเป็นนักเตะที่เล่นกับพื้นที่แคบๆได้ดี ทั้งการเลี้ยงผ่าน และการครองบอลถือว่าเป็นข้อดีที่เห็นชัดมากยิ่งถ้าเกมไหนตันๆต้องการตัวเลี้ยงเข้าไปที่แคบๆเพื่อแบ่งเบาภาระของเมสซี่ คนนี้แหละช่วยได้เยอะ เหมาะมากสำหรับเกมที่โดนอีกฝ่ายเอานักเตะมาออกันในกรอบเขตโทษเยอะๆ

เข้าระบบกับทีม

การเข้ามานอกเวลาซื้อขาย นั่นทำให้นักเตะคนนี้เอาเข้าจริงไม่ได้อยู่ในแผนการทำทีมบาร์เซโลน่า แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่เลย เค้ากลายเป็นนักเตะที่มีความเข้าใจ ระบบ แผนการเล่นของ โรนัลด์ คูมัน ได้เป็นอย่างดีทีเดียว ยิ่งฐานะตัวสำรองที่จะลงมาเปลี่ยนเกม หรือทำตามสถานการณ์ที่โค้ชกำหนดเอาไว้ บอกเลยว่าคนนี้ก็เด็ดเหมือนกัน ถือว่าเป็นอีกหนึ่งนักเตะที่ โรนัลด์ คูมัน จะขาดไม่ได้เลยเวลานี้

3 เหตุผล ดึงสติแฟนแมนยู หลังตกรอบ

3 เหตุผล ดึงสติแฟนแมนยู หลังตกรอบ

คงเป็นอีกหนึ่งเช้าวันทำงาน แบบที่ไม่อยากไปทำงานเท่าไร สำหรับแฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลายคนคงเซ็งไม่น้อยแม้ว่าจะไม่ได้ตื่นขึ้นมาดูก็ตาม ยิ่งถ้าตื่นขึ้นมาดูคงเซ็งมากกว่าเดิมอีกหลายเท่าทีเดียว มาวันนี้เราขอทำหน้าที่เป็นตัวกลางดึงสติแฟนบอลแมนยูกันหน่อยว่าหลังตกรอบ เราควรคิดกันอย่างไรต่อเหตุการณ์นี้ด้วย 3 เหตุผล

ที่จริงมันเป็นไปตามคาดหวัง

ย้อนกลับไปคืนวันจับสลากแบ่งกลุ่ม UCL เชื่อว่าแฟนผีหลายคนในเวลานั้น ก็คงไม่ได้คาดหวังผลงานของโซลชาร์มากเท่าไรอยู่แล้วว่า จะสามารถพลิกกลับเข้ารอบไปได้ หลายคนมองว่าจะตกรอบไปเลยด้วยซ้ำไป มาถึงตอนนี้ โซลชาร์ ก็พาแมนยูทำได้ตามเป้า ก็คือ ได้อันดับที่ 3 ของกลุ่ม ไปเล่นยูโรป้า ลีค หากมองแบบนี้ก็เท่ากับว่า โซลชาร์ทำงานได้ตามเป้า ตามความคาดหมายของแฟนบอล ดังนั้นไม่ต้องคิดอะไรมาก

ตาสว่างคุณภาพนักเตะ

จากผลงานชนะรวด ถ้าไม่นับ มาร์คซิยาล ต้องยอมรับว่า มีเพียงแค่ บรูโน่ แฟร์นันเดส จอมทัพโปรตุเกสเท่านั้นมีที่มีคุณภาพนักเตะระดับสูงพอฟัดพอเหวี่ยงกับนักเตะคนอื่นในตำแหน่งเดียวกันของยุโรป แต่ว่าคนอื่นพูดกันตามตรงว่ายังตามหลังคนอื่นอีกเยอะ พอมาแพ้สองนัดติดตกรอบอย่างนี้ มันก็ทำให้เราตาสว่างได้ว่า สุดท้ายแล้วคุณภาพนักเตะของเรามันยังตามหลังทีมระดับท็อปของยุโรปอยู่ หลายช่วงตัวทีเดียว ซึ่งมันคงเป็นหน้าที่ของโซลชาร์และทีมงานที่ต้องค้นหาอีกหลายตำแหน่ง

เข้ารอบไปก็ตกรอบอยู่ดี

ผลงานเมื่อคืนเชื่อว่า แฟนบอล คงเห็นแล้วว่า คุณภาพทีมแบบนี้ แม้ว่าจะผ่านเข้ารอบน็อคเอาท์ต่อไป ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย บอกตามตรงว่าไปเจอกแชมป์กลุ่มไหนก็ตาม โอกาสที่พวกเค้าจะตกรอบก็มีสูงมาก ดังนั้นชิงตกรอบไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ ก็คงไม่แตกต่างกัน แล้วถ้าพูดให้ใจร้ายหน่อย การเข้ารอบไปแล้วเกิดเจอตัวโหดอย่าง บาร์ซา, บาเยิร์น ไม่แน่พวกเค้าอาจจะแพ้แบบสกอร์เยอะจนกลายเป็นประวัติศาสตร์ก็ได้ สุดท้ายแม้จะเสียใจแต่ทีมต้องเดินหน้าต่อไป

นักเตะยอดเยี่ยมประจำซีซั่นของ ลิเวอร์พูล

นักเตะยอดเยี่ยมประจำซีซั่นของ ลิเวอร์พูล

ต้องบอกว่าต้นร้ายปลายดีเหมือนกันสำหรับลิเวอร์พูล ที่ต้องยอมรับว่าพวกเค้าเจอปีศาจร้ายที่ชื่อว่า “อาการบาดเจ็บ” เล่นงานมาเกือบทั้งซีซั่นเลย พวกเค้าแทบจะไม่ได้มี 11 ตัวจริงที่ดีที่สุดได้เลย ยืมใครมาก็เจ็บ เดี๋ยวเจ็บอีก แต่สุดท้ายการกระเสือกกระสนมาจบได้ที่อันดับสาม ถือว่าทำได้ตามเป้า หรือเหนือกว่าที่คาดอีก เราไปดูว่าใครควรจะได้รับการยกย่องว่าเป็นนักเตะยอดเยี่ยมประจำซีซั่นของ ลิเวอร์พูล

โมฮาเหม็ด ซาลาห์

ภายใต้อาการบาดเจ็บที่รบกวนคนในทีมมาตลอดทั้งซีซั่นมีคนหนึ่งที่แทบจะไม่โดนอาการบาดเจ็บเลย แถมยังรักษาฟอร์มตัวเองตามมาตรฐานได้อีกด้วย คนนั้นก็คือ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ คนดีคนเดิมนี่เอง ต้องยอมรับว่านี่เป็นอีกหนึ่งซีซั่นที่เจ้าตัวต้องใช้คำว่า “แบก” ทีมจนหลังแอ่นเลยทีเดียว สถิติในซีซั่นนี้ลงเล่นไป 37 เกม (ในลีค) ชนะ 19 เกม แพ้ 9 เกม ยิงได้ 22 ประตู แอสซิสต์อีก 5 ครั้ง ถือว่าเป็นสถิติที่ดีเลย ขนาดเพื่อนเล่นไม่ได้ตามมาตรฐานพี่เค้ายังทำได้มากขนาดนี้ ถ้าอยู่ในสภาพฟิตทั้งทีม สงสัยซาลาห์ คงยิงแตะหลัก 30 ประตูได้เลย

อลิสซอน แบ็คเกอร์

อีกหนึ่งคนที่ต้องบอกว่าคอยประคับประคองทีมไม่ให้แย่ไปมากกว่านี้ ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ก็คือพ่อหมีอลิสซอน แบ็คเกอร์ คนนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งซีซั่นที่เค้าโชว์ฟอร์มดีเลย สถิติในเกมลีค ลงเล่นไป 33 เกม ชนะ 18 แพ้ 7 เก็บ 10 คลีนชีต เซฟไปทั้งหมด 84 ครั้ง แถมทำได้อีก 1 ประตูสำคัญในเกมกับเวสต์บรอมวิชด้วย ถือว่าเป็นอีกคนที่ฟอร์มดีแบบทะลุขึ้นมา

ฟาบินโญ่

ในช่วงเวลาที่ เวอร์กิล ฟานไดค์ เจ็บ เราเชื่อว่าคนที่ต้องรับบทบาทแทน และ แบก จนหลังแอ่นอีกคนก็คือกองกลางตัวตัดเกมคนนี้ เพราะว่าเค้าต้องลงไปเล่นเซนเตอร์แบ็คแทนที่ฟานไดค์ หลายครั้งซึ่งมันไม่ใช่ตำแหน่งถนัดของเค้าเลย แต่ก็ยังทำหน้าที่ได้ดีในซีซั่นนี้ลงเล่นในลีคไป 30 เกม ชนะ 16 เกมแพ้ 6 เกม หวังว่าซีซั่นหน้ากลับมาเล่นตำแหน่งเดิมน่าจะกลับมาเล่นดีอีกครั้ง

สรุปผลคาราบาวคัพ คู่ที่น่าสนใจ

สรุปผลคาราบาวคัพ คู่ที่น่าสนใจ

จบลงไปเรียบร้อยสำหรับ เกมลีคคัพ หรือ คาราบาวคัพ รอบที่สาม รอบนี้เริ่มมีความเข้มข้นมากขึ้นเนื่องจากว่ามีเหล่าทีมจากพรีเมียร์ลีคลงมาร่วมเตะด้วย ทำให้เกมบางคู่ดูสนุกและสูสีมากขึ้น แถมบางคู่ทีมจากพรีเมียร์ลีคมาเจอกันเองอีกด้วย ตอนนี้เตะครบจบหมดแล้วเรามาสรุปผลการแข่งขันคู่สำคัญกันบ้าง

เลสเตอร์ซิตี้ กับ อาร์เซนอล

ถือว่าเป็นคู่เอกประจำการแข่งขันรอบนี้เลยก็ว่าได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าทีมพรีเมียร์ลีคมาเจอกันเอง ไม่เท่านั้นยังเป็นทีมระดับหัวตารางด้วยกันอีกด้วย ผลการแข่งขันเป็น อาร์เซนอลที่ฟอร์มร้อนแรงกว่า เอาชนะไปได้ 2-0 เกมนี้ใครที่ดูสดจะบอกว่าสู้กันสนุกสูสี แม้ว่าจะเป็นทีมผสมทั้งคู่ก็ตาม

นิวพอร์ต กับ วัตฟอร์ด

คู่ต่อไปเราไปดูเกมที่ต้องใช้คำว่า พลิกล็อคกันบ้าง เป็นเกมระหว่าง นิวพอร์ต คันทรี่ ทีมจากลีคทู ได้โอกาสมาเจอกับ วัตฟอร์ด ที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะเกินแรงของ วัตฟอร์ดเท่าไร แต่ปรากฏว่า เป็นเจ้าบ้านที่เอาชนะไปได้ 3-1 เกมนี้วัตฟอร์ดเหลือเพียงแค่ 10 ด้วยแต่มาโดนในนาทีที่ 88 ตอนนั้นเกมขาดไปแล้ว ถือว่าเป็นเกมที่เจ้าบ้านเล่นได้ดีกว่าจนเอาชนะไปได้ ส่งวัตฟอร์ดเป็นทีมพรีเมียร์ลีคทีมที่สองได้กลับบ้านไปก่อน

เวสต์บรอม กับ เบรนท์ฟอร์ด

คู่แรกของรอบนี้ที่ถือว่า พลิกล็อค เล็กๆด้วยเหมือนกัน เวสต์บรอมวิช เจอกับ เบรนท์ฟอร์ด คู่นี้หากเทียบกันจริงก็ไม่ห่างกันเท่าไร(เวสต์บรอมวิชจากพรีเมียร์ลีค เบรนท์ฟอร์ดจากแชมเปี้ยนชิพ) ทำให้ผลการแข่งขันออกมาสูสีมากออกเสมอ 2-2 ต้องตัดสินกันด้วยการยิงจุดโทษ สรุปเป็นทาง เบรนท์ฟอร์ดทำได้ดีกว่า ยิงเข้าหมดทุกคน ส่วนเวสต์บรอมวิชมาพลาดในคนสุดท้าย ทำให้ตกรอบไป

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ บอร์นมัธ

อีกคู่เป็นแมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ บอร์นมัธ คู่นี้เอาจริงแมนเชสเตอร์ ซิตี้ก็ไม่ได้เหนือกว่ามาก เพราะว่าเอานักเตะสำรอง และดาวรุ่งลง แต่ก็ยังสามารถเอาชนะบอร์นมัธไปได้ แสดงถึงคุณภาพของนักเตะได้ดี ขุมกำลังแน่นปึ้กอย่างนี้บอกเลยว่าน่าจะลุยทุกถ้วยได้ยาวๆเหมือนเดิม

แพนิคบาย การซื้อที่ไม่ได้อะไรเลยของ ปีศาจแดง

แพนิคบาย การซื้อที่ไม่ได้อะไรเลยของ ปีศาจแดง

สำหรับแฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เห็นข่าวตลาดซื้อขายในช่วงท้ายนี้ คงคิดได้แค่คำว่า มันอะไรกันครับเนี่ย เพราะจากดีลที่ดูน่าจะมีความหวังทั้งการได้ตัว และยกระดับคุณภาพของทีมได้อย่าง เจดอน ซานโช่ มาตอนนี้กลับต้องมาลุ้นกลับดีลอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน เราเชื่อว่าสุดท้าย แมนยู อาจจะมีสถานการณ์ แพนิคบาย หรือการซื้อแบบตื่นตูม ในช่วงโค้งสุดท้ายของตลาดเราบอกเลยว่าจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาเอาแบบไม่นานนี้ก็ได้ ถ้าทำแบบนี้ไม่ได้มีผลดีอะไรเลย

ไม่ได้ซื้อเพราะฟุตบอล

เหตุผลสำคัญที่ทำให้การ แพนิคบายไม่ได้เป็นการซื้อเพื่อการแก้ปัญหาเรื่องฟุตบอล เพราะว่าเหล่าผู้บริหารมองว่าการซื้อนักเตะเข้ามาเป็นเรื่องของกำไรขาดทุน เรื่องของการขายเสื้อมากกว่า ทีนี้การซื้อนักเตะที่เข้ามาเพราะเหตุผลด้านการตลาด ทำให้นักเตะคนนั้น ไม่ได้ลงสนาม หรือ ลงสนามไปก็เพราะโดนสั่งมาจากบอร์ด ผู้จัดการทีมก็ไม่สามารถรีดศักยภาพออกมาได้ สุดท้ายนักเตะและทีมก็ล้มเหลวไปพร้อมกัน

ระเบิดเวลาค่าเหนื่อย

การซื้อในช่วงโค้งสุดท้าย หากไม่ใช่นักเตะที่เค้าจ้องจะขายอยู่แล้ว ส่วนมากจะเป็นนักเตะที่ราคาสูงมาก ทีนี้ซื้อมาแพงแบบไม่ได้อยากได้ มันก็ขายไม่ออกเท่านั้นไม่พอ การซื้อในช่วงโค้งสุดท้ายแบบนี้ แมนยูจะโดนโก่งค่าตัวจนหลังหัก รวมถึงค่าเหนื่อยที่จะต้องจ่ายเยอะเกินความจำเป็น เกินค่าเหนื่อยไปมาก สุดท้ายกลายเป็นระเบิดเวลาเรื่องค่าเหนื่อย กับเพดานค่าเหนื่อยที่จะทำให้ทีมเสียเงินเยอะเกินไป ยิ่งวิกฤติโควิท19 แบบนี้ด้วยบอกเลยว่า ตัวแดงในบัญชีกันแบบยาวๆ ให้ดูเคสของ อเล็กซิส ซานเชส เป็นตัวอย่างก็ได้

ตัวตลก

การซื้อแบบตื่นตูมอย่างนี้ เดิมทีเป็นการทำเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของแบรนด์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และทำให้หุ้นขึ้นด้วย แต่เดี๋ยวนี้การซื้อนักเตะแบบตื่นตูม มันกลับให้ผลตรงกันข้าม มันจะทำให้ ภาพลักษณ์เหมือนคนลนลาน ดูเป็นตัวตลกในสายตาคนวงการฟุตบอลด้วยซ้ำไป ส่วนเรื่องหุ้นบอกเลยว่าการซื้อแบบนี้ไม่ทำให้หุ้นวิ่งขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้นอยากฝากบอก เอ็ด ว่า ถ้าซื้อไม่ได้ก็ไม่ต้องซื้อ

ปัจจัยส่งผลให้ ลิเวอร์พูล หมดสิทธิ์ป้องกันแชมป์ไปแล้ว

ปัจจัยส่งผลให้ ลิเวอร์พูล หมดสิทธิ์ป้องกันแชมป์ไปแล้ว

แม้ว่าตอนนี้การฟันธงว่าลิเวอร์พูล หมดสิทธิ์ลุ้นแชมป์มันยังเร็วเกินไป เพราะว่าเกมยังเหลืออีกประมาณ 15 นัด แต่ก็ต้องยอมรับความจริงว่าตอนนี้โอกาสของพวกเค้าหลุดลอยไปหมดแล้ว การตามหลังแมนเชสเตอร์ ซิตี้ที่ 10 คะแนน (หรืออาจะไปไกลถึง 13 คะแนน หากซิตี้เก็บชัยชนะเกมตกค้างได้) มันคงเป็นเรื่องยากที่แชมป์เก่าอย่างลิเวอร์พูลจะไล่ทันในเวลานี้ ปัจจัยอะไรบ้างส่งผลให้ลิเวอร์พูลหมดสิทธิ์ป้องกันแชมป์

อาการบาดเจ็บ

หากจะโทษอะไรสักอย่างที่ทำให้ลิเวอร์พูลหมดสภาพเลย น่าจะเป็นเรื่องอาการบาดเจ็บของนักเตะที่มาแบบต่อเนื่องเลย เริ่มจาก เวอร์กิล ฟานไดค์ ที่เป็นเสมือนทุกสิ่งทุกอย่างของทีมเจ็บไปจากเกมกับเอฟเวอร์ตัน จากนั้นนักเตะก็ทยอยกันเจ็บเรื่อยมาโดยเฉพาะในแผงหลังที่สุดท้ายต้องถอย ฟาบินโญ่ จากกลางลงมาเล่นเซนเตอร์แบ็ค และ ดึง แนท เซนเตอร์แบ็คดาวรุ่งขึ้นมาเล่นแทน เนื่องจากไม่มีนักเตะเซนเตอร์อาชีพเหลือเลย จนต้องมาซื้อเอาใหม่ในช่วงเวลาท้ายๆของการซื้อขายนักเตะ นึกภาพว่าหากพวกเค้ายังอยู่กันครบ อาจจะยังป้วนเปี้ยนแถวอันดับ 1-3 อยู่ก็ได้

แอนฟิลด์ ไม่ขลัง

ช่วงหลังที่ผลงานตกลงไป ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าจุดแข็งของพวกเค้าอย่างเกมในบ้าน ไม่ขลังเหมือนเดิม หลังจากพ่ายในบ้านเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี นั่นเหมือนกับว่า ปราการที่เคยแข็งแกร่งได้ถูกเจาะเป็นรูโหว่ ต่อจากนั้นก็โดนเจาะซ้ำไปเรื่อยๆจนทำให้ตอนนี้การเล่นในบ้านอย่าง แอนฟิลด์ ไม่ได้น่ากลัวอย่างเคยอีกต่อไป พอเก็บแต้มในบ้านไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย นอกบ้านก็คงยากหน่อย

นักเตะไม่ฟิตพอ

แผนการเล่นของ คล็อปป์ ที่ติดตั้งลงไปให้กับลิเวอร์พูล เรารู้กันดีว่ามันคือ เฮฟวี่เมทัล ฟุตบอลที่หาคนทำได้ยากมาก แต่ซีซั่นนี้มันแปลกประหลาดตรงที่เตะกันถี่มาก นั่นทำให้การฟื้นฟูร่างกายเพื่อให้ฟิตตลอดเวลามันไม่ได้ง่ายแบบนั้น พอนักเตะล้า และต้องเตะติดกัน(เนื่องจากว่านักเตะเจ็บไม่มีนักเตะหมุนเวียน รวมถึงนักเตะสำรองยังทำได้ไม่ดีพอเลยจะพักนักเตะตัวหลักไม่ได้) นั่นทำให้นักเตะไม่ฟิตพอ จากนั้นการเล่นตามแผนก็ทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จากจุดแข็งก็เลยกลายเป็นจุดอ่อนไป

เอเมอริก ลาปอร์ต ตัวหมากสำคัญของ แมนซิตี้

เอเมอริก ลาปอร์ต ตัวหมากสำคัญของ แมนซิตี้

เกมที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เอาชนะ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ดไปได้ 1-0 เกมนี้หลายคนมองว่าเป็นที่เกมไม่น่าจะยากของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่พอลงสนามจริงกลับไม่เป็นแบบนั้น เชฟฟิลด์ เล่นด้วยยากมากจริงๆ หลายจังหวะสามารถสร้างอันตรายให้กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ได้ด้วย แต่ที่พวกเค้าชนะกลับมาได้ ต้องยอมรับว่าตอนนี้ ตัวหมากสำคัญของซิตี้กลับมาแล้ว นั่นคือ เอเมอริค ลาปอร์ต

เกมแรกหลังจากเจ็บยาว
เกมนี้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ได้เอเมอริค ลาปอร์ต เซนเตอร์แบ็คคนสำคัญกลับมาประจำการในรอบ 5 เดือน แน่นอนว่าเกมนี้ เป๊ป อาจจะหวังให้เค้าเรียกความฟิต เรียกจังหวะตัวเอง กลับมาก่อน ซึ่งเค้าเองก็ทำได้ดีทีเดียว หลายจังหวะอาจจะเล่นเหมือนร้างสนามไปนาน แต่โดยรวมพอเค้ากลับมาเหมือนกับแนวรับของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ดูแข็งขึ้นเยอะ เอาง่ายๆว่าการกลับมาของเค้าทำให้แมนซิตี้ เก็บคลีนชีทได้ในรอบ 6 เกมเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดี

มาช้าแต่มาแล้ว
ซีซั่นนี้ ก่อนจะเริ่ม เอเมอริค ลาปอร์ต ถูกวางตัวให้เป็นเซนเตอร์แบ็ค ตัวหลักของทีมเลย ด้วยการเล่นอันแข็งแกร่งกับลูกกลางอากาศ เล่นบอลบนพื้นได้ เปิดเกมจากแดนหลังได้ แต่น่าเสียดายที่เค้าบาดเจ็บหนักไปนานถึง 5 เดือน นั่นทำให้แผนของเป๊ปนั่นเป๋ไปเลย ต้องหาคนอื่นมาแทนซึ่งแทนไม่ได้ บวกกับ การเล่นต้องปรับใหม่หมด ผลก็เป็นอย่างที่เห็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้โดนเจาะเยอะมากยังดีที่เกมรุกยิงขึ้นได้ ทำให้เอาชนะมาได้ แม้ว่าจะกลับมาประจำการช้าไปหน่อย แต่เชื่อว่าการกลับมาคราวนี้ ลาปอร์ต น่าจะกลับมาประจำการยาวๆจนจบฤดูกาลไปเลย

การเล่นขึ้นบอลจากแดนหลัง
ทีนี้พอลาปอร์ต กลับมา เหมือนกับว่าเป๊ป ได้ตัวหมากสำคัญกลับมาคืนสนามอีกครั้ง เรื่องสำคัญที่เป๊บอยากให้ทำเป็นเรื่องเกมรับให้เหนียวแน่นไว้ก่อน บวกกับการเล่นฟุตบอลที่ขึ้นเกมจากแนวหลังที่เค้าต้องการ มาทีนี้เค้าจะได้ทำมันอย่างที่ใจต้องการแล้ว บอกเลยว่าช่วงเวลาที่เหลือแมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะกลับมาน่ากลัวอีกครั้ง คิดแค่ว่ารับเหนียวแล้วบุกโหด ก็เล่นด้วยยากแล้ว

ส่องเกมรอบชิงโคปป้าอิตาเลีย จุดโทษเกมแรกหลังโควิท 19

ส่องเกมรอบชิงโคปป้าอิตาเลีย จุดโทษเกมแรกหลังโควิท 19

เกมรอบชิงชนะเลิศโคปป้าอิตาเลีย เมื่อคืนนี้ต้องบอกว่า หักปากกาเซียนพอสมควรในสายตาคนทั่วไป แต่ถ้าคนที่ติดตามฟุตบอลอิตาลีช่วงหลังจะไม่งงเท่าไร กับการที่ยูเว่แพ้ให้กับนาโปลี เพราะคู่นี้ก็เคยเจอกันมาแล้วในซีซั่นนี้จากรายการอื่นแล้วยูเว่ก็เคยแพ้ไป 2-1 แสดงว่านาโปลีก็มีดีเหมือนกัน เกมนี้มีความน่าสนใจจนเราต้องหยิบมาเล่าให้ฟังกันตรงที่ว่ามันเป็นเกมแรกหลังกลับมาจากโควิท 19 ที่ต้องตัดสินจนถึงการดวลจุดโทษ
เล่นเพียงแค่ 90 นาที
การเล่นฟุตบอลแบบเกมบอลถ้วยอย่างนี้ ส่วนใหญ่หากเสมอกันในเวลาปกติ 90 นาที จะต้องต่อเวลาพิเศษออกไปอีก 30 นาที(ครึ่งละ 15 นาที) เพื่อหาผู้ชนะ แต่ด้วยสถานการณ์โควิท 19 ทำให้พอจบเวลาปกติ 90 นาที จะตัดช่วงต่อเวลาออกไปแล้วเข้าสู่ช่วงเตะจุดโทษเลย อันนี้ชอบนะมันช่วยย่นเวลาการเตะฟุตบอลลงไปได้เยอะ อีกอย่างการได้ลุ้นจุดโทษมันได้ลุ้นกว่าการไปเตะรอบต่อเวลาอีกด้วย จากเกมนี้บอลถ้วยอื่นน่าจะทำเหมือนกัน
สนามเงียบก็กดดันไม่แพ้กัน
สิ่งที่ยากมากของการเตะจุดโทษก็คือ วินาทีที่เอาลูกฟุตบอลไปตั้ง นักฟุตบอลจะได้ยินเสียงเชียร์ดังเซ็งแซ่ไปหมดทั้งฝั่งตัวเองและฝั่งตรงข้าม เสียงเชียร์เหล่านี้จะสร้างแรงกดดันให้กับนักเตะมหาศาลเลย หากรับมือไม่ดีอาจจะทำให้เตะผิดพลาดได้ แต่เกมนี้เค้าเตะแบบปิดสนาม ไม่มีเสียงเชียร์ดังกล่าว แต่เชื่อหรือไม่ว่า ความเงียบที่ทุกคนในสนามเงียบกันหมดเพื่อให้นักเตะทั้งคนยิง และ ผู้รักษาประตูได้มีสมาธินั้น มันเงียบเสียจนไม่ได้ยินอะไรเลย ยิ่งทำให้ความกดดันที่แบกรับอยู่แล้วในรอบชิงชนะเลิศยิ่งมากขึ้นไปอีก สังเกตได้จากผู้เล่นของยูเว่ที่ยิงพลาดไปสองคนอย่าง ดีบาล่า และ ดานิโล่ ดูออกเลยว่ากดดันจนยิงพลาด เกมบอลถ้วยที่เหลือของซีซั่นนี้ เราน่าจะได้เห็นภาพแบบนี้อีกหลายครั้งทีเดียว น่าติดตามน่า