แพนิคบาย การซื้อที่ไม่ได้อะไรเลยของ ปีศาจแดง

แพนิคบาย การซื้อที่ไม่ได้อะไรเลยของ ปีศาจแดง

สำหรับแฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เห็นข่าวตลาดซื้อขายในช่วงท้ายนี้ คงคิดได้แค่คำว่า มันอะไรกันครับเนี่ย เพราะจากดีลที่ดูน่าจะมีความหวังทั้งการได้ตัว และยกระดับคุณภาพของทีมได้อย่าง เจดอน ซานโช่ มาตอนนี้กลับต้องมาลุ้นกลับดีลอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน เราเชื่อว่าสุดท้าย แมนยู อาจจะมีสถานการณ์ แพนิคบาย หรือการซื้อแบบตื่นตูม ในช่วงโค้งสุดท้ายของตลาดเราบอกเลยว่าจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาเอาแบบไม่นานนี้ก็ได้ ถ้าทำแบบนี้ไม่ได้มีผลดีอะไรเลย

ไม่ได้ซื้อเพราะฟุตบอล

เหตุผลสำคัญที่ทำให้การ แพนิคบายไม่ได้เป็นการซื้อเพื่อการแก้ปัญหาเรื่องฟุตบอล เพราะว่าเหล่าผู้บริหารมองว่าการซื้อนักเตะเข้ามาเป็นเรื่องของกำไรขาดทุน เรื่องของการขายเสื้อมากกว่า ทีนี้การซื้อนักเตะที่เข้ามาเพราะเหตุผลด้านการตลาด ทำให้นักเตะคนนั้น ไม่ได้ลงสนาม หรือ ลงสนามไปก็เพราะโดนสั่งมาจากบอร์ด ผู้จัดการทีมก็ไม่สามารถรีดศักยภาพออกมาได้ สุดท้ายนักเตะและทีมก็ล้มเหลวไปพร้อมกัน

ระเบิดเวลาค่าเหนื่อย

การซื้อในช่วงโค้งสุดท้าย หากไม่ใช่นักเตะที่เค้าจ้องจะขายอยู่แล้ว ส่วนมากจะเป็นนักเตะที่ราคาสูงมาก ทีนี้ซื้อมาแพงแบบไม่ได้อยากได้ มันก็ขายไม่ออกเท่านั้นไม่พอ การซื้อในช่วงโค้งสุดท้ายแบบนี้ แมนยูจะโดนโก่งค่าตัวจนหลังหัก รวมถึงค่าเหนื่อยที่จะต้องจ่ายเยอะเกินความจำเป็น เกินค่าเหนื่อยไปมาก สุดท้ายกลายเป็นระเบิดเวลาเรื่องค่าเหนื่อย กับเพดานค่าเหนื่อยที่จะทำให้ทีมเสียเงินเยอะเกินไป ยิ่งวิกฤติโควิท19 แบบนี้ด้วยบอกเลยว่า ตัวแดงในบัญชีกันแบบยาวๆ ให้ดูเคสของ อเล็กซิส ซานเชส เป็นตัวอย่างก็ได้

ตัวตลก

การซื้อแบบตื่นตูมอย่างนี้ เดิมทีเป็นการทำเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของแบรนด์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และทำให้หุ้นขึ้นด้วย แต่เดี๋ยวนี้การซื้อนักเตะแบบตื่นตูม มันกลับให้ผลตรงกันข้าม มันจะทำให้ ภาพลักษณ์เหมือนคนลนลาน ดูเป็นตัวตลกในสายตาคนวงการฟุตบอลด้วยซ้ำไป ส่วนเรื่องหุ้นบอกเลยว่าการซื้อแบบนี้ไม่ทำให้หุ้นวิ่งขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้นอยากฝากบอก เอ็ด ว่า ถ้าซื้อไม่ได้ก็ไม่ต้องซื้อ

ปัจจัยส่งผลให้ ลิเวอร์พูล หมดสิทธิ์ป้องกันแชมป์ไปแล้ว

ปัจจัยส่งผลให้ ลิเวอร์พูล หมดสิทธิ์ป้องกันแชมป์ไปแล้ว

แม้ว่าตอนนี้การฟันธงว่าลิเวอร์พูล หมดสิทธิ์ลุ้นแชมป์มันยังเร็วเกินไป เพราะว่าเกมยังเหลืออีกประมาณ 15 นัด แต่ก็ต้องยอมรับความจริงว่าตอนนี้โอกาสของพวกเค้าหลุดลอยไปหมดแล้ว การตามหลังแมนเชสเตอร์ ซิตี้ที่ 10 คะแนน (หรืออาจะไปไกลถึง 13 คะแนน หากซิตี้เก็บชัยชนะเกมตกค้างได้) มันคงเป็นเรื่องยากที่แชมป์เก่าอย่างลิเวอร์พูลจะไล่ทันในเวลานี้ ปัจจัยอะไรบ้างส่งผลให้ลิเวอร์พูลหมดสิทธิ์ป้องกันแชมป์

อาการบาดเจ็บ

หากจะโทษอะไรสักอย่างที่ทำให้ลิเวอร์พูลหมดสภาพเลย น่าจะเป็นเรื่องอาการบาดเจ็บของนักเตะที่มาแบบต่อเนื่องเลย เริ่มจาก เวอร์กิล ฟานไดค์ ที่เป็นเสมือนทุกสิ่งทุกอย่างของทีมเจ็บไปจากเกมกับเอฟเวอร์ตัน จากนั้นนักเตะก็ทยอยกันเจ็บเรื่อยมาโดยเฉพาะในแผงหลังที่สุดท้ายต้องถอย ฟาบินโญ่ จากกลางลงมาเล่นเซนเตอร์แบ็ค และ ดึง แนท เซนเตอร์แบ็คดาวรุ่งขึ้นมาเล่นแทน เนื่องจากไม่มีนักเตะเซนเตอร์อาชีพเหลือเลย จนต้องมาซื้อเอาใหม่ในช่วงเวลาท้ายๆของการซื้อขายนักเตะ นึกภาพว่าหากพวกเค้ายังอยู่กันครบ อาจจะยังป้วนเปี้ยนแถวอันดับ 1-3 อยู่ก็ได้

แอนฟิลด์ ไม่ขลัง

ช่วงหลังที่ผลงานตกลงไป ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าจุดแข็งของพวกเค้าอย่างเกมในบ้าน ไม่ขลังเหมือนเดิม หลังจากพ่ายในบ้านเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี นั่นเหมือนกับว่า ปราการที่เคยแข็งแกร่งได้ถูกเจาะเป็นรูโหว่ ต่อจากนั้นก็โดนเจาะซ้ำไปเรื่อยๆจนทำให้ตอนนี้การเล่นในบ้านอย่าง แอนฟิลด์ ไม่ได้น่ากลัวอย่างเคยอีกต่อไป พอเก็บแต้มในบ้านไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย นอกบ้านก็คงยากหน่อย

นักเตะไม่ฟิตพอ

แผนการเล่นของ คล็อปป์ ที่ติดตั้งลงไปให้กับลิเวอร์พูล เรารู้กันดีว่ามันคือ เฮฟวี่เมทัล ฟุตบอลที่หาคนทำได้ยากมาก แต่ซีซั่นนี้มันแปลกประหลาดตรงที่เตะกันถี่มาก นั่นทำให้การฟื้นฟูร่างกายเพื่อให้ฟิตตลอดเวลามันไม่ได้ง่ายแบบนั้น พอนักเตะล้า และต้องเตะติดกัน(เนื่องจากว่านักเตะเจ็บไม่มีนักเตะหมุนเวียน รวมถึงนักเตะสำรองยังทำได้ไม่ดีพอเลยจะพักนักเตะตัวหลักไม่ได้) นั่นทำให้นักเตะไม่ฟิตพอ จากนั้นการเล่นตามแผนก็ทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จากจุดแข็งก็เลยกลายเป็นจุดอ่อนไป

เอเมอริก ลาปอร์ต ตัวหมากสำคัญของ แมนซิตี้

เอเมอริก ลาปอร์ต ตัวหมากสำคัญของ แมนซิตี้

เกมที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เอาชนะ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ดไปได้ 1-0 เกมนี้หลายคนมองว่าเป็นที่เกมไม่น่าจะยากของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่พอลงสนามจริงกลับไม่เป็นแบบนั้น เชฟฟิลด์ เล่นด้วยยากมากจริงๆ หลายจังหวะสามารถสร้างอันตรายให้กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ได้ด้วย แต่ที่พวกเค้าชนะกลับมาได้ ต้องยอมรับว่าตอนนี้ ตัวหมากสำคัญของซิตี้กลับมาแล้ว นั่นคือ เอเมอริค ลาปอร์ต

เกมแรกหลังจากเจ็บยาว
เกมนี้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ได้เอเมอริค ลาปอร์ต เซนเตอร์แบ็คคนสำคัญกลับมาประจำการในรอบ 5 เดือน แน่นอนว่าเกมนี้ เป๊ป อาจจะหวังให้เค้าเรียกความฟิต เรียกจังหวะตัวเอง กลับมาก่อน ซึ่งเค้าเองก็ทำได้ดีทีเดียว หลายจังหวะอาจจะเล่นเหมือนร้างสนามไปนาน แต่โดยรวมพอเค้ากลับมาเหมือนกับแนวรับของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ดูแข็งขึ้นเยอะ เอาง่ายๆว่าการกลับมาของเค้าทำให้แมนซิตี้ เก็บคลีนชีทได้ในรอบ 6 เกมเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดี

มาช้าแต่มาแล้ว
ซีซั่นนี้ ก่อนจะเริ่ม เอเมอริค ลาปอร์ต ถูกวางตัวให้เป็นเซนเตอร์แบ็ค ตัวหลักของทีมเลย ด้วยการเล่นอันแข็งแกร่งกับลูกกลางอากาศ เล่นบอลบนพื้นได้ เปิดเกมจากแดนหลังได้ แต่น่าเสียดายที่เค้าบาดเจ็บหนักไปนานถึง 5 เดือน นั่นทำให้แผนของเป๊ปนั่นเป๋ไปเลย ต้องหาคนอื่นมาแทนซึ่งแทนไม่ได้ บวกกับ การเล่นต้องปรับใหม่หมด ผลก็เป็นอย่างที่เห็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้โดนเจาะเยอะมากยังดีที่เกมรุกยิงขึ้นได้ ทำให้เอาชนะมาได้ แม้ว่าจะกลับมาประจำการช้าไปหน่อย แต่เชื่อว่าการกลับมาคราวนี้ ลาปอร์ต น่าจะกลับมาประจำการยาวๆจนจบฤดูกาลไปเลย

การเล่นขึ้นบอลจากแดนหลัง
ทีนี้พอลาปอร์ต กลับมา เหมือนกับว่าเป๊ป ได้ตัวหมากสำคัญกลับมาคืนสนามอีกครั้ง เรื่องสำคัญที่เป๊บอยากให้ทำเป็นเรื่องเกมรับให้เหนียวแน่นไว้ก่อน บวกกับการเล่นฟุตบอลที่ขึ้นเกมจากแนวหลังที่เค้าต้องการ มาทีนี้เค้าจะได้ทำมันอย่างที่ใจต้องการแล้ว บอกเลยว่าช่วงเวลาที่เหลือแมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะกลับมาน่ากลัวอีกครั้ง คิดแค่ว่ารับเหนียวแล้วบุกโหด ก็เล่นด้วยยากแล้ว

ส่องเกมรอบชิงโคปป้าอิตาเลีย จุดโทษเกมแรกหลังโควิท 19

ส่องเกมรอบชิงโคปป้าอิตาเลีย จุดโทษเกมแรกหลังโควิท 19

เกมรอบชิงชนะเลิศโคปป้าอิตาเลีย เมื่อคืนนี้ต้องบอกว่า หักปากกาเซียนพอสมควรในสายตาคนทั่วไป แต่ถ้าคนที่ติดตามฟุตบอลอิตาลีช่วงหลังจะไม่งงเท่าไร กับการที่ยูเว่แพ้ให้กับนาโปลี เพราะคู่นี้ก็เคยเจอกันมาแล้วในซีซั่นนี้จากรายการอื่นแล้วยูเว่ก็เคยแพ้ไป 2-1 แสดงว่านาโปลีก็มีดีเหมือนกัน เกมนี้มีความน่าสนใจจนเราต้องหยิบมาเล่าให้ฟังกันตรงที่ว่ามันเป็นเกมแรกหลังกลับมาจากโควิท 19 ที่ต้องตัดสินจนถึงการดวลจุดโทษ
เล่นเพียงแค่ 90 นาที
การเล่นฟุตบอลแบบเกมบอลถ้วยอย่างนี้ ส่วนใหญ่หากเสมอกันในเวลาปกติ 90 นาที จะต้องต่อเวลาพิเศษออกไปอีก 30 นาที(ครึ่งละ 15 นาที) เพื่อหาผู้ชนะ แต่ด้วยสถานการณ์โควิท 19 ทำให้พอจบเวลาปกติ 90 นาที จะตัดช่วงต่อเวลาออกไปแล้วเข้าสู่ช่วงเตะจุดโทษเลย อันนี้ชอบนะมันช่วยย่นเวลาการเตะฟุตบอลลงไปได้เยอะ อีกอย่างการได้ลุ้นจุดโทษมันได้ลุ้นกว่าการไปเตะรอบต่อเวลาอีกด้วย จากเกมนี้บอลถ้วยอื่นน่าจะทำเหมือนกัน
สนามเงียบก็กดดันไม่แพ้กัน
สิ่งที่ยากมากของการเตะจุดโทษก็คือ วินาทีที่เอาลูกฟุตบอลไปตั้ง นักฟุตบอลจะได้ยินเสียงเชียร์ดังเซ็งแซ่ไปหมดทั้งฝั่งตัวเองและฝั่งตรงข้าม เสียงเชียร์เหล่านี้จะสร้างแรงกดดันให้กับนักเตะมหาศาลเลย หากรับมือไม่ดีอาจจะทำให้เตะผิดพลาดได้ แต่เกมนี้เค้าเตะแบบปิดสนาม ไม่มีเสียงเชียร์ดังกล่าว แต่เชื่อหรือไม่ว่า ความเงียบที่ทุกคนในสนามเงียบกันหมดเพื่อให้นักเตะทั้งคนยิง และ ผู้รักษาประตูได้มีสมาธินั้น มันเงียบเสียจนไม่ได้ยินอะไรเลย ยิ่งทำให้ความกดดันที่แบกรับอยู่แล้วในรอบชิงชนะเลิศยิ่งมากขึ้นไปอีก สังเกตได้จากผู้เล่นของยูเว่ที่ยิงพลาดไปสองคนอย่าง ดีบาล่า และ ดานิโล่ ดูออกเลยว่ากดดันจนยิงพลาด เกมบอลถ้วยที่เหลือของซีซั่นนี้ เราน่าจะได้เห็นภาพแบบนี้อีกหลายครั้งทีเดียว น่าติดตามน่า

ไม่ได้เซอร์ไพรส์อะไร รุ่นพี่แชมป์พรีเมียร์ลีกสองสมัยพูดถึงความสำเร็จของลิเวอร์พูล

sbobet ไม่เซอไพรซ์ลิเวอร์พูล
ยอดทีมแชมป์พรีเมียร์ลีกสองสมัยติดกันล่าสุดอย่างทีมเรือใบสีฟ้า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ โดยแบร์นาโด้ ซิลวา กองกลางของทีมได้พูดถึงจ่าฝูงอย่างลิเวอร์พูลว่ามันไม่ได้เกินความคาดหมายอะไร
“ลิเวอร์พูลไม่ได้ทำให้ผมเซอร์ไพรส์อะไรนะ พวกเขาเป็นหนึ่งในทีมที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก และพวกเราก็รู้ดีเลยแหละว่าปีนี้พวกเขาไม่ได้มาเล่น ๆ” ซิลวากล่าวถึงหงส์แดง “มันไม่ได้อาศัยแค่โชคนะ พวกเขามีคุณสมบัติที่น่ายกย่อง บวกกับนู่นนั่นนี่ ทุกอย่างถูกปูไว้ให้พวกเขาแล้ว”
“ในฤดูกาลแรกที่ผมได้เล่นที่นี้ พวกเราทำลายสถิติทุกอย่างและจบด้วยคะแนนสูงถึง 100 แต้ม ผมจำได้ว่าพวกเราชนะสองสามเกมนาทีที่ 93 หรือ 94 ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่เราตั้งใจ บางครั้งเล็งลูกบอล มันก็เข้าไปง่าย ๆ แบบนั้นแหละ”
“ฤดูกาลล่าสุดที่ผ่านมา พวกเราเปิดบ้านเจอกับลิเวอร์พูล และจอห์น สโตนส์เคลียร์บอลจากเส้นแค่เพียงมิลลิเมตรเท่านั้น ซึ่งจุดเล็ก ๆ แบบนี้มันก็สร้างความแตกต่างให้กับเกมได้”
โดยนอกจากการแข่งขันพรีเมียร์ลีกแล้ว ทีมเรือใบสีฟ้า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ก็ยังมีแข่งอีกสามถ้วย และรวมถึงแชมเปี้ยนส์ลีกที่กำลังไปได้ดีสำหรับซิลวา
“เราชนะคอมมิวนิตีชีลด์ในช่วงต้นฤดูกาล พวกเราเข้ารอบสุดท้ายคาราบาลคัพ และเรายังชนะในเอฟเอคัพอีกด้วย ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี ในแชมป์เปี้ยนส์ลีกนี้ พวกเราได้ที่หนึ่งของกลุ่ม และกำลังจะเจอกับเกมที่หินอีกด้วย (ทีมเรือใบสีฟ้าจะเจอกับราชันชุดขาว เรอัล มาดริด) พวกเรายังไม่เคยได้ถ้วยแชมป์เปี้ยนส์ลีก และผมก็จะไม่อายที่จะพูดว่าพวกเราทุกคนอยากได้มัน ผมตื่นเต้นที่จะได้เล่นกับเรอัล มาดริดมาก ตอนที่พวกคุณยังเป็นเด็ก คุณมักจะฝันถึงการได้เล่นกับคู่แข่งที่เก่งที่สุด ถ้าคุณอยากจะได้ถ้วยแชมป์เปี้ยนลีก คุณก็ต้องสมควรที่จะได้รับมันด้วย มันยากมากเพราะคุณจะต้องเจอกับทีมคู่แข่งที่เก่งและแข็ง ๆ ทั้งนั้น แต่แน่ละ พวกเราเตรียมตัวมาสำหรับเรื่องนี้อยู่แล้ว”
“ผู้คนเริ่มจะชินกับการที่แมนฯ ซิตี้ ชนะทุกอย่าง ถ้าเรามองย้อนกลับไปสองฤดูกาลก่อน กับอีกครั้งฤดูกาลที่ผ่านมา ยังไม่มีทีมจากยุโรปที่ไหนได้ถ้วยมากเท่าเรา ไม่ใช่ว่าเราชนะแค่หนึ่ง แต่ทีมเรากำลังก้าวเป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุด ถ้าเราได้ถ้วยและแชมเปี้ยนส์ลีกนี้ มันจะเป็นฤดูกาลที่ดีที่สุดที่เราเคยมีมา”

สรุปผลการแข่งขัน UCL กลุ่ม G กลุ่มแห่งความสูสี

การแข่งขันรอบแบ่งกลุ่ม UCL เค้าจะจับสลากทีมเข้าแข่งขันร่วมกลุ่มตามระดับค่าสัมประสิทธิ์ของทีม ซึ่งนั่นอาจจะทำให้บางกลุ่มมีทีมที่มีคุณภาพสูงหลายทีมรวมกันเพื่อแย่งตำแหน่งเข้ารอบให้ได้แต่บางกลุ่มก็อาจจะไม่มีทีมดังอยู่เลยก็มีอย่างเช่นกลุ่ม G ที่ไม่ค่อยมีคนสนใจสักเท่าไร แต่รูปเกมการแข่งขันสูสีมากที่สุดกลุ่มหนึ่งเลย
กลุ่มที่สูสีที่สุดของรอบแบ่งกลุ่ม
เชื่อว่าพอผลการจับสลากประกบคู่ออกมา กลุ่ม G น่าจะเป็นกลุ่มที่ผู้จัดการทีมทั้งสี่ทีมมองหน้ากันแล้วยิ้มเลย ที่ยิ้มไม่ใช่อะไรนะทุกคนรู้ว่า ตั๋วเข้ารอบ 2 ใบ จาก 4 ทีม นั้นไม่ว่าใครก็สามารถที่จะเป็นเจ้าของได้ ทุกทีมมีขนาดทีม คุณภาพของทีมใกล้เคียงกันมาก ประสบการณ์การเล่นก็ไม่แตกต่างกันเท่าไร หากจะให้ก็เป็นเบนฟิก้า เหนือกว่าเพื่อนร่วมกลุ่มหน่อยหนึ่ง กลุ่มนี้ประกอบไปด้วย อาร์แบร์ ไลป์ซิก ขุมกำลังใหม่จากบุนเดสลีก้าที่ทำผลงานในเวที UCL ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ สองลียงทีมยักษ์หลับจากฝรั่งเศสที่ค่อยๆฟื้นขึ้นมาอย่างน่าสนใจ สามเบนฟิก้า ทีมแกร่งจากจากโปรตุเกสที่เด่นเกมในบ้าน สี่เซนิต เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ทีมจากรัสเซีย
ผลการแข่งขัน
คู่นี้ต้องบอกว่า เป็นกลุ่มที่ดูออกยากมากว่าใครจะมาวินเข้ารอบไปได้ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีความสูสีกันมาก แล้วก็เป็นอย่างที่ว่าจริง การแข่งขันแต่ละครั้งสามารถสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งกันได้ตลอด ก่อนจะเป็นทางไลป์ซิก เล่นได้ดีกว่าจนทำคะแนนฉีกออกจากอีกสามทีมได้แต่ก็นิดหนึ่ง แต่ก็มาพลาดเสียท่าแพ้ให้อีก กว่าจะได้บทสรุปก็ต้องเข้าสู่เกมสุดท้ายเลย
บทสรุปของกลุ่ม G
สุดท้าย แม้ว่าแต่ละทีมต่างก็เพลี่ยงพล้ำกันไปจนทำคะแนนหล่นหาย กลายเป็นทาง อาร์แบ ไลป์ซิก จากเยอรมันทำได้ดีที่สุดที่ 11 คะแนน สถิติชนะ 3 เสมอ 2 แพ้ 1 เข้ารอบเป็นแชมป์กลุ่มไป ตามมาด้วย ลียง สถิติ ชนะ 2 เสมอ 2 แพ้ 2 ได้ 8 คะแนน ส่วนที่ 3 กับ 4 นี่บอกเลยว่า สุดของจริง เบนฟิก้า กับ เซนิต ทำคะแนนได้เท่ากัน 7 คะแนน สถิติ ชนะ 2 เสมอ 1 แพ้ 3 เท่ากันอีกต้องมาวัดกันที่ลูกได้เสีย เป็นทาง เบนฟิก้า มีผลต่างดีกว่า 1 ประตู ทำให้ร่วงลงไปเล่น ยูโรป้า ลีค ส่งให้เซนิต ตกรอบแบบชีช้ำกระหล่ำปลีมากทีเดียว

รีล มาดริด เล่นเรื่อยๆมาเรียงๆ

วันนี้เราเปลี่ยนบรรยากาศไปดูสถานการณ์ของฟุตบอลลาลีก้า สเปนมาบ้าง ปีนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปหลายอย่างที่น่าสนใจก็คือ การกลับมาอีกครั้งของชายที่ชื่อว่า ซีดาน เค้ากลับมาคราวนี้ตอนแรกหลายก็เริ่มจะไม่เชื่อมือว่าจะพาทีมกลับมาได้ แต่ซีซั่นนี้เหมือนเค้าจะพิสูจน์ให้เห็นว่าที่ทำไปนั้นเป็นของจริง
รีล มาดริด เวอร์ชั่นเน้นผล
หากนับเฉพาะผลงานในลีค ตอนนี้รีล มาดริดถือว่ามาดีมากทีเดียว พวกเค้าอาจจะไม่ได้เป็นทีมที่เล่นเกมรุกโหดดุดันอะไรมากนักหากเทียบกับยุคกาแลคติกอสทั้งสองชุด แต่ผลการแข่งขันพวกเค้าสามารถทำให้ได้อย่างที่ต้องการตลอด อาจจะเบียดชนะ 1-2 ลูก แต่ก็ถือว่าทำได้ตามเป้าเกมสามแต้มได้ แม้จะมีหลุดเสมอหรือแพ้บ้าง แต่ก็น้อยมาก จนทำให้พวกเค้ามาอยู่ในตำแหน่งที่ต้องการคือเป็นจ่าฝูง
โอกาสการเป็นแชมป์ลีค
จากสถานการณ์นี้ รีล มาดริดหากเล่นแบบนี้ได้ตลอดที่เหลือของฤดูกาลบอกเลยว่าน่ากลัวมาก ทีมที่เล่นเพื่อผลการแข่งขันตามต้องการได้ มีโอกาสเป็นแชมป์ลีคสูง อีกอย่างพวกเค้าได้แชมป์ลีคน้อยมาก ครั้งนี้น่าจะเป็นโอกาสดีที่จะทำให้พวกเค้ากลับมามีลุ้นถึงแชมป์ลีคที่ห่างหายไปนานอีกครั้งหนึ่ง
นักเตะเล่นฟุตบอลไม่เล่นข่าว
อีกหนึ่งปัจจัยความสำเร็จของรีล มาดริด ก็คือ ตัวนักเตะเองหันมาเล่นฟุตบอลอย่างจริงจัง ไม่มีการเล่นนอกสนาม เล่นข่าว เล่นอะไรก็ไม่รู้ทำให้ทีมสปิริตเสียไป พอนักเตะทุ่มสมาธิให้กับเกมฟุตบอลอย่างเดียว ผลลัพธ์ก็เลยออกมาดีทีเดียว นักเตะหลายคนเหมือนกลับเข้าสู่ฝั่ง เข้าสู่ฟอร์มที่ดีของตัวเองได้แล้ว อย่างรามอสเองเกมรับก็กลับมาแข็งบวกกับเกมบุกก็พร้อมขึ้นไปโหม่งทำประตูด้วย
บวกกับสถานการณ์ทีมคู่รักคู่แค้นอย่าง บาร์เซโลน่า เหมือนจะยังจูนกันไม่ติดเท่าไร ตรงนี้หากรีล มาดริด ฉวยโอกาสทำแต้มไปเรื่อยๆ เรียงๆ เล่นแบบเก็บสามแต้มได้ตลอดบอกเลยว่ามีถ้วยแน่นอน อย่างไรก็ตามต้องดูว่า สไตล์แบบนี้เกมเอลคาชิโกกับบาร์เซโลน่าในยกแรกจะเป็นอย่างไร

“อ็องตวน กรีซมันน์” เผยสาเหตุย้ายซบต่างดาว คือ เมสซี่


“อ็องตวน กรีซมันน์” นักเตะตัวเก่งของ “แอตเลติโก้ มาดริด” ออกมาเผยถึงความรู้สึก สาเหตุที่เมินโอกาสย้ายไปอยู่กับ บาร์เซโลน่า หลังจากที่ “เจ้าบุญทุ่ม”
ได้จ่ายค่าฉีกสัญญามูลค่า 88 ล้านปอนด์ ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา แต่ท้ายสุดแล้วเค้าก็เลือกที่จะอยู่รังเดิมกับ “ตราหมี” ต่อไป

สตาร์นักเตะฝีมือดีทีมชาติ ฝรั่งเศส วัย 27 ปี ได้เปิดใจถึงเรื่องนี้กับ “FourFourTwo” ว่า “ถามว่ายากแค่ไหนในการปฎิเสธสโมสรฟุตบอลเลื่องชื่อ บาร์เซโลน่า?
ถือว่าเป็นเรื่องที่ยากเอามาก ๆ เพราะทีมอย่าง บาร์ซ่า ต้องการตัวคุณ โทรหาคุณ และส่งข้อความติดต่อมาหลายครั้ง เขาแสดงปรารถนาว่าต้องการเราจริง ๆ”

“แต่เมื่อสโมสรที่คุณอยู่ในปัจจุบันยกให้คุณเป็นผู้เล่นคนสำคัญแล้วและสร้างทีมขึ้นมาโดยมีคุณเป็นแกนหลัก และเมื่อต้องเทียบกับอีกข้อเสนอที่ต้องย้ายไปอยู่ภายใต้ร่มเงาของ
เมสซี่ หรืออาจเป็นได้แค่ส่วนหนึ่งในทีม ในทางกลับกันเพื่อนร่วมทีมของผม และผู้คนในสโมสร (แอตฯ มาดริด) ทำทุก ๆ อย่าง”

“พวกเขาเข้ามาคุยกับผม พร้อมเพิ่มค่าเหนื่อยให้ และทำในทุก ๆ อย่าง เพื่อรักษาผมไว้ ทำให้ผมเห็นว่านี่คือบ้านและผมไม่ควรย้ายออกไปไหน”
“มันเป็นช่วงเวลาที่สับสนจริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภรรยาของผมที่โดนปลุกมาคุยเรื่องนี้ในตอนตีสาม” กรีซมันน์ กล่าวทิ้งท้าย

10 นักเตะเท้าไฟในตำนานที่ยิงคู่แข่งเข้าไม่ยั้งในเกมเดียว

นาทีนี้นักเตะที่ทำผลงานดีที่สุดก็จะถูกจับตามองและเปรียบเทียบกันว่าที่ผ่านมานั้นมีนักเตะคนไหนบ้างที่สามารถทำประตูอย่างถล่มทลายให้กับทีม หลังจากที่ คิลิยัน เอ็มบัปเป้ ทำ 4 ประตูใน 13 นาที ไปแล้ว
แต่ก็ยังมีนักเตะฝีเท้าโหดที่ทำประตูกระซวกตาข่ายคู่ต่อสู้แบบไม่ไว้หน้าคนอื่น ๆ ซึ่ง 10 นักเตะในตำนาน ซึ่งแต่ละคนนั้นเป็นความทรงจำที่ดีของแฟนฟุตบอล มีใครบ้างมาดูกันเลย

นักเตะเท้าไฟ

1. โอเล่ กุนนาร์ โซลชา (vs น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์, 1999)
อัตราเฉลี่ยของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ที่ลงมาในฐานะตัวสำรองให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นัดเยือนน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ จัดว่าแจ่ม เมื่อหัวหอกชาวนอร์วีเจี้ยน ใช้เวลาเพียง 18 นาทีในสนามที่ซิตี้กราวด์ ปี 1999 รัว 4 ประตู
ผ่านมือนายทวาร เดฟ บีเซนต์ ให้ แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าชัยชนะ 8-1 ก่อนที่ลูกทีมของเฟอร์กี้จะก้าวไปเถลิงเทรเบิลแชมป์ส่วนฟอเรสต์ตกชั้น โดยแข้ง “เจ้าป่า” ที่ลงเล่นในวันนั้นมีนักเตะอย่าง อูโก้ ปอร์ฟิริโอ และ เจสเปอร์ แม็ตตส์สัน ด้วย

2. เดนิส ลอว์ (vs ลูตัน, 1961) วันที่ 28 มกราคม 1961
นับว่าไม่ใช่วันที่โชคดีของลอว์ เมื่อศูนย์หน้าของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กดไป 6 ลูกในเกมเอฟเอคัพกับลูตัน ทาวน์ แต่เกมต้องมาถูกยกเลิกในนาทีที่ 69 เนื่องจากมีน้ำท่วมขังในสนาม ไม่เพียงแค่ประตูของลอว์จะไม่ถูกบันทึก
ไว้ในสถิติเท่านั้นแต่ ซิตี้ ก็ต้องมาประสบกับความปราชัยในนัดแข่งใหม่ด้วย หลังจากสกอร์ที่นำอยู่ 6-2 ในแมตช์แรกไม่นำมาคิดในเกมนี้ ซึ่งดับเบิ้ลแฮตทริกของลอว์น่าจะเป็นสถิติของ เอฟเอคัพ ก่อนที่ จอร์จ เบสต์
จะมายิงด้วยจำนวนที่เท่ากันให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นัดเยือน นอร์แธมป์ตัน ทาวน์ ในอีก 9 ปีต่อมา แต่สถิติก็ถูกทำลายลงในปี 1971 โดย เท็ด แม็คดูกัลล์ ของบอร์นมัธ ที่ทำไป 9 ประตู ในการเจอกับมาร์เกตซึ่งผู้รักษาประตู
ที่โชคร้ายที่สุดในโลกคนนั้นก็คือ ชิค โบรดี้ ที่ก่อนเกมได้เจอระเบิดมืออยู่ในหมวกของตัวเอง และขาของเขาก็เกือบหักจากการถูก แจ็ค รัสเซลล์ ย่ำระหว่างเกม ก่อนที่คานจะหักและหล่นลงมาใส่หัวในแมตช์หลังจากนั้น

3. พานาจิโอติส ปอนติกอส (vs อายิออส อธานาซิออส, 2007)
แม้แต่ อาร์ชี่ ธอมป์สัน ของออสเตรเลีย (คนที่เราจะกล่าวถึงหลังจากนี้) ซึ่งครองสถิติโลกในระดับทีมชาติคงฝันว่าจะกระซวกตาข่ายได้อย่างปอนติกอส ศูนย์หน้าของโอลิมปอส ไซโลฟากูบ้าง โดยในลีกดิวิชั่น 3 ของไซปรัส
เมื่อปี 2007 ไซโลฟากู ที่เดา ๆ ว่าคงตั้งชื่อตามอย่างไซโลโฟนที่เป็นระนาดฝรั่ง ได้ถล่มเอสอีเค อายิออส อธานาซิออส แบบยับเยิน 24-3 ซึ่งประตูส่วนใหญ่ได้มาจากการจบสกอร์ของปอนติกอสที่กดไป 16 ตุง ในครึ่งแรก
เขาทำได้เพียงแค่ 4 แต่มารัวอีกหนึ่งโหลหลังจากหมดพักครึ่ง ซึ่งประตูในครึ่งหลังได้มาในนาทีที่ 47, 50, 55, 56, 61, 68, 75, 76, 83, 86 และ 87 เล่นเอาบรรดาแนวรับของอธานาซิออสถึงกับคอตกไปตาม ๆ กัน และนั่นก็เพียงพอ
ที่จะทำให้ปอนติกอสทำสถิติโลกในระดับสโมสรเทียบเท่ากับ สเตฟาน สตานิโอ ที่ยิง 16 ลูกให้กับราซิ่ง คลับ ในเฟร้นช์คัพที่เจอออบรี้ อัสตูรีส์ เมื่อปี 1942

4. โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ (vs เรอัล มาดริด, 2013)
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เลวายิงสลุตคู่แข่งได้อย่างในเกมกับโวล์ฟสบวร์ก โดยเจ้าตัวเคยยิง 4 ลูกให้กับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบรองชนะเลิศที่ปะทะแข้งกับเรอัล มาดริด เมื่อปี 2013 และที่น่าเหลือเชื่อก็คือ
เขาทำแฮตทริกโดยใช้เวลาไม่ถึง 4 นาทีได้ 2 ครั้งในระยะเวลาห่างกันแค่ 3 เดือน ซึ่งศูนย์หน้าทีมชาติโปแลนด์กด 3 ตุงในเวลา 3 นาที 59 วินาทีในการเจอกับจอร์เจียเมื่อเดือนมิถุนายน ก่อนที่จะทำได้เร็วกว่าเดิม 40 วินาที
ในการรัว 3 ลูกแรกในเกมกับโวล์ฟสบวร์ก จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่แฮตทริกสุดเร็วจี๋ของเขาจะกลายเป็นสถิติใหม่ของบุนเดสลีกา

5. ดีเตอร์ มุลเลอร์ (vs แวร์เดอร์ เบรเมน, 1977)
มุลเลอร์ ถือครองสถิตินักเตะที่ยิงในนัดเดียวสูงที่สุดในบุนเดสลีกาตอนนี้ โดยยิงได้มากกว่าเลวานดอฟสกี้อยู่ 1 ลูก โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในนัดที่โคโลญจน์เจอกับแวร์เดอร์ เบรเมน เมื่อปี 1977 ซึ่งเจ้าตัวทะลวงตาข่ายได้
ในนาทีที่ 12, 23, 32, 52, 73 และ 85 น่าเสียดายที่ไม่มีวิดีโอในนัดดังกล่าวเนื่องจากตากล้องสไตรก์ในช่วงนั้น ทำให้เราอดเห็นประตูที่ 4 ของเขาซึ่งเป็นลูกยิงตีลังกากลับหลังระยะ 110 หลา รวมถึงลูกที่ 5 ที่ได้มาจาก
ลูกตอกส้นอันสุดมหัศจรรย์ด้วยเช่นกัน

6. อาร์ชี่ ธอมป์สัน (vs อเมริกัน ซามัว, 2001)
ธอมป์สัน กดไปทั้งสิ้น 28 ประตูจาก 54 นัดในการรับใช้ทีมชาติออสเตรเลีย ซึ่ง 13 ลูกจากทั้งหมดมาจากเกม ๆ เดียวในปี 2001 เขายิงเยอะซะจนคนทำหน้าที่เปลี่ยนสกอร์บอร์ดนับผิดให้เครดิตเขาเป็น 14 ลูกในตอนแรก
มีผู้ชมเพียง 3,000 คนที่เข้ามาเป็นสักขีพยานในเกมประวัติศาสตร์ที่คอฟฟส์ ฮาร์เบอร์ ซึ่งอเมริกัน ซามัว โดนยำเละ 31-0 ซึ่งรายงานหลังเกมระบุให้จำกัดความว่า “ออสเตรเลียลงเตะก็เหมือนไม่ได้ลง” ซึ่งนี่คงเป็นก็รายงานข่าว
ที่ให้ความสำคัญน้อยที่สุดในศตวรรษเลยก็ว่าได้ (และนั่นทำให้มีการวางระบบรอบคัดเลือกใหม่เพื่อสกรีนทีมปลาซิวปลาสร้อยมากขึ้น) โดยธอมป์สันเริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป เขาเบิกสกอร์แรกในนาทีที่ 12
และบวกลูกที่ 2 ของตัวเองไม่ได้จนกระทั่งนาทีที่ 23 แต่จากนั้นประตูก็ไหลมาเทมาในนาทีที่ 27, 29, 33, 37, 42 และ 45 ทำให้หมดครึ่งแรกเขาซัดไป 8 ตุง ก่อนจะทำได้อีกในนาทีที่ 56, 60 และ 65 แล้วคงจะไปกินข้างเที่ยง
หรือทำอะไรสักอย่างก่อนจะกลับมาปิดจ๊อบในนาทีที่ 85 กับ 88 เก็บยอดรวมไปทั้งสิ้น 13 ประตู

7. โจ เพย์น (vs บริสตอล โรเวอร์ส, 1936)
หลายสิ่ง ๆ เกิดขึ้นอย่างพิลึกพิลั่นในฤดูกาล 1935/36 อย่างแรกคือ เท็ด เดรก ทำคนเดียว 7 ลูกให้อาร์เซนอลถล่มแอสตัน วิลล่า 7-1 และเขายังเป็นคนเดียวในลีกสูงสุดที่ยิงได้มากขนาดนี้ จากนั้น โรเบิร์ต “บันนี่” เบลล์ ก็กลายเป็น
คนเดียวในลีกอังกฤษที่ซัด 9 ตุงในนัดที่ทรานเมียร์ โรเวอร์ส อัดโอลด์แฮม แอธเลติก 13-4 เรียกได้ว่ายิงจนปวดเท้าเลยทีเดียว จริง ๆ เขาน่าจะยิงได้ 10 ลูกด้วยซ้ำหากไม่พลาดจุดโทษเสียก่อน ซึ่งตรงข้ามกับเพย์นที่สามารถทะลวง
ตาข่ายได้ถึงเลข 2 หลักผ่านนายด่านบริสตอล โรเวอร์ส ในนัดที่ลูตันชนะ 12-0 ซึ่งเขาไม่ใช่ศูนย์หน้าธรรมชาติเสียด้วยซ้ำ โดยก่อนหน้านั้นนักเตะอเนกประสงค์รายนี้ลงเล่นเพียงแค่ 4 นัดให้กับลูตันในซีซั่นดังกล่าว ซึ่งทั้งหมด
เป็นตำแหน่งฮาล์ฟขวา (เทียบเท่ากับแบ็คขวาในปัจจุบัน) และไม่เคยเล่นศูนย์หน้าให้กับสโมสรมาก่อนเลย ที่น่าประหลาดใจก็คือเขาทำได้ 10 ประตูทั้งที่ถูกเลือกให้ยืนเป็นศูนย์หน้าจำเป็นในนัดแรกในรอบ 7 เดือนของตัวเอง
และหลังจากนั้นก็ไม่เคยกลับไปยืนเป็นฮาล์ฟขวาอีกเลย

8. โอเล็ก ซาเลนโก้ (vs แคเมอรูน, 1994)
อาชีพการค้าแข้งของ ซาเลนโก้ ไม่มีอะไรให้น่าจดจำเป็นพิเศษ มันดำเนินอย่างค่อยเป็นค่อยไปและเขาเองก็ไม่ได้ทำประตูเป็นกอบเป็นกำให้กับต้นสังกัดอย่าง เซนิต, ดินาโม เคียฟ, บาเลนเซีย และเรนเจอร์ส แต่อยู่ ๆเจ้าตัว
ก็มายิงคนเดียว 5 ประตูให้รัสเซียในเกมฟุตบอลโลก 1994 กับแคเมอรูน บวกกับจุดโทษในเกมกับสวีเดนทำให้ซาเลนโก้คว้ารางวัลรองเท้าทองคำประจำทัวร์นาเม้นต์ร่วมกับ ฮริสโต้ สตอยช์คอฟ ถึงแม้ว่าทีม “หมีขาว”
จะจอดป้ายตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มก็ตาม โดยซาเลนโก้ไม่เคยยิงให้กับทีมชาติได้มาก่อนและก็ทำไม่ได้อีกเลยนับตั้งแต่นั้น เขาทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวังในช่วงที่ค้าแข้งกับเรนเจอร์สที่เขาให้คำจำกัดความว่า “น่าเบื่อมาก”
ก่อนที่จะกลายมาเป็นกุนซือทีมฟุตบอลชายหาดของยูเครนในเวลาต่อมา

9. โฮเซ หลุยส์ ชิลาเวิร์ต (vs เฟร์โร คาร์ริล ออยสเต้, 1999)
3 ลูกในเกมเดียวอาจเรียกไม่ได้เต็มปากนักว่าทำประตูได้เป็นกอบเป็นกำ แต่ถ้าบอกว่ามันมาจากผู้รักษาประตูล่ะ? โดยผู้รักษาประตูจอมเพี้ยนชาวปารากวัยผู้มีฉายาว่า “เอล บูลด็อก” (เราคงไม่ต้องแปลความหมายให้คุณล่ะมั้ง?)
ยิงได้ 67 ลูกตลอดอาชีพค้าแข้งของเขา ซึ่งต้องขอบคุณสกิลในการยิงฟรีคิกและจุดโทษของเขา ในปี 1999 ขณะที่ลงเล่นให้กับเวเลซ ซาร์สฟิลด์ ต้นสังกัดอาร์เจนไตน์เจอกับเฟร์โร คาร์ริล ออยสเต้เขายิงจุดโทษ 3 ลูก
ในเกมที่ชนะ 6-1 อย่างไรก็ตามชิลาเวิร์ตเป็นที่รู้จักมากกว่าในเรื่องของความมุทะลุ ซึ่งในวิกิพีเดียได้ระบุไว้ในประวัติของเขาว่า “เคยประเคนหมัดใส่นักเตะอย่าง ฟาอุสติโน่ อัสปริย่า และ ดีเอโก้ มาราโดน่า มาแล้ว”

10. แม็กนุส อาร์วิดส์สัน (vs แลนด์สโครน่า, 1995)
ถ้าคุณอยากเห็นแฮตทริกแบบรวดเร็วทันใจโดยที่ไม่ต้องไปพึ่งเลวานดอฟสกี้ อาร์วิดส์สันคือคำตอบ โดยในเกมดิวิชั่น 2 ของสวีเดนเมื่อปี 1995 เขายิง 3 ลูกรวดในเวลาแค่ 89 วินาทีให้กับฮาสเซิลโฮล์มในนัดที่เจอกับแลนด์สโครน่า
“มันมีเวลาห่างกันนิดเดียวระหว่างตอนคิกออฟกับทำประตูได้” อาร์วิดส์สันกล่าวหลังจากนั้น ซึ่งประตูดังกล่าวช่วยให้ฮาสเซิลโฮล์มพลิกกลับมาชนะ 5-3 และรอดพ้นการตกชั้น ก่อนที่จะย้ายไปอยู่เยอรมันกับฮันซ่า รอสต็อค
และติดทีมชาติสวีเดน 2 นัด น่าผิดหวังที่เขายิงให้ทัพ “ไวกิ้ง” ไม่ได้

ระบบฟุตบอลทุนนิยม ทำเอาเด็กท้องถิ่นไม่ได้เกิด

ระบบฟุตบอลสมัยนี้ต้องบอกเลยว่าเป็นสิ่งที่แยกออกจากกันไม่ได้เลยระหว่าง กีฬากับธุรกิจ แน่นอนว่ามันทำให้กีฬาได้ถูกพัฒนาขึ้นไปด้วยเทคโนโลยีและกำลังเงินที่เพิ่มเข้ามา แต่สิ่งที่หายไปแล้วเราต้องยอมรับมันก็คือการสูญหายไปของการดันเด็กท้องถิ่นจากเยาวชนสู่ทีมชุดใหญ่ สาเหตุเป็นเพราะอะไร เราคัดมาเน้นๆสามดอกด้วยกัน

การเข้ามาเทคโอเวอร์พร้อมกับเงิน

อย่างแรก เมื่อสโมสรฟุตบอลเปลี่ยนมือจากเจ้าของเดิมที่ทำขึ้นด้วยใจที่รักฟุตบอลอย่างเดียว เป็นเจ้าของที่รักฟุตบอลด้วยแต่ต้องทำธุรกิจไปด้วย เมื่อเข้าไปเทคโอเวอร์ก็จะต้องเทเงินลงไปให้กับทีมด้วย เมื่อทีมมีเงินการซื้อตัวนักเตะก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องยากเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ทั้งเงินค่าตัวและเงินค่าเหนื่อยเดี๋ยวนี้แต่ละสโมสรต่างก็จ่ายได้ไม่อั้นกันทั้งนั้น

ความสำเร็จแบบเร่งด่วน

เมื่อมีการลงทุนลงไป ก็ต้องมีการหวังกำไรเกิดขึ้นด้วย นอกจากกำไรในเรื่องของการขายตั๋วแล้ว กำไรที่เจ้าของทีมอยากได้ก็คือเรื่องของความสำเร็จแบบเร่งด่วน ต้องได้ถ้วยอะไรบ้างเท่านั้นเท่านี้ปี เมื่อความต้องการมาแบบเร่งด่วนก็ทำให้ผู้จัดการทีมไม่อยากเสี่ยงที่จะใช้เด็กท้องถิ่นที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองได้เลยมาเล่น เพราะอาจจะทำให้เกมแพ้ได้ สุดท้ายเมื่อขาดโอกาสก็เลยหมดโอกาสในการเข้าสู่ทีมชุดใหญ่ไป

ราคานักเตะที่แพงเกินไป

สาเหตุสุดท้ายเป็นเรื่องของราคานักเตะที่ต้องบอกว่าแพงถึงแพงมาก ยิ่งหากเป็นเด็กท้องถิ่น(อังกฤษ)ด้วยแล้วราคานี่ต้องใช้คำว่า “แพงโคตร” เลยทีเดียว ซึ่งในราคาที่เท่ากันหรือแพงกว่านิดหน่อย แต่ละทีมสามารถไปซื้อนักเตะที่พิสูจน์ตัวเองมาแล้วในลีคอื่น หรือ ลีคเดียวกันแต่อยู่ทีมอื่นได้สบาย จึงไม่แปลกที่จะทำให้เด็กท้องถิ่นหากไม่เจ๋งจริง หรือ มีดวงประกอบด้วย การจะได้ขึ้นมาเล่นทีมชุดใหญ่อาจจะเป็นไปได้ยาก จนถึงยากที่สุด