10 นักเตะเท้าไฟในตำนานที่ยิงคู่แข่งเข้าไม่ยั้งในเกมเดียว

นาทีนี้นักเตะที่ทำผลงานดีที่สุดก็จะถูกจับตามองและเปรียบเทียบกันว่าที่ผ่านมานั้นมีนักเตะคนไหนบ้างที่สามารถทำประตูอย่างถล่มทลายให้กับทีม หลังจากที่ คิลิยัน เอ็มบัปเป้ ทำ 4 ประตูใน 13 นาที ไปแล้ว
แต่ก็ยังมีนักเตะฝีเท้าโหดที่ทำประตูกระซวกตาข่ายคู่ต่อสู้แบบไม่ไว้หน้าคนอื่น ๆ ซึ่ง 10 นักเตะในตำนาน ซึ่งแต่ละคนนั้นเป็นความทรงจำที่ดีของแฟนฟุตบอล มีใครบ้างมาดูกันเลย

นักเตะเท้าไฟ

1. โอเล่ กุนนาร์ โซลชา (vs น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์, 1999)
อัตราเฉลี่ยของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ที่ลงมาในฐานะตัวสำรองให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นัดเยือนน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ จัดว่าแจ่ม เมื่อหัวหอกชาวนอร์วีเจี้ยน ใช้เวลาเพียง 18 นาทีในสนามที่ซิตี้กราวด์ ปี 1999 รัว 4 ประตู
ผ่านมือนายทวาร เดฟ บีเซนต์ ให้ แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าชัยชนะ 8-1 ก่อนที่ลูกทีมของเฟอร์กี้จะก้าวไปเถลิงเทรเบิลแชมป์ส่วนฟอเรสต์ตกชั้น โดยแข้ง “เจ้าป่า” ที่ลงเล่นในวันนั้นมีนักเตะอย่าง อูโก้ ปอร์ฟิริโอ และ เจสเปอร์ แม็ตตส์สัน ด้วย

2. เดนิส ลอว์ (vs ลูตัน, 1961) วันที่ 28 มกราคม 1961
นับว่าไม่ใช่วันที่โชคดีของลอว์ เมื่อศูนย์หน้าของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กดไป 6 ลูกในเกมเอฟเอคัพกับลูตัน ทาวน์ แต่เกมต้องมาถูกยกเลิกในนาทีที่ 69 เนื่องจากมีน้ำท่วมขังในสนาม ไม่เพียงแค่ประตูของลอว์จะไม่ถูกบันทึก
ไว้ในสถิติเท่านั้นแต่ ซิตี้ ก็ต้องมาประสบกับความปราชัยในนัดแข่งใหม่ด้วย หลังจากสกอร์ที่นำอยู่ 6-2 ในแมตช์แรกไม่นำมาคิดในเกมนี้ ซึ่งดับเบิ้ลแฮตทริกของลอว์น่าจะเป็นสถิติของ เอฟเอคัพ ก่อนที่ จอร์จ เบสต์
จะมายิงด้วยจำนวนที่เท่ากันให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นัดเยือน นอร์แธมป์ตัน ทาวน์ ในอีก 9 ปีต่อมา แต่สถิติก็ถูกทำลายลงในปี 1971 โดย เท็ด แม็คดูกัลล์ ของบอร์นมัธ ที่ทำไป 9 ประตู ในการเจอกับมาร์เกตซึ่งผู้รักษาประตู
ที่โชคร้ายที่สุดในโลกคนนั้นก็คือ ชิค โบรดี้ ที่ก่อนเกมได้เจอระเบิดมืออยู่ในหมวกของตัวเอง และขาของเขาก็เกือบหักจากการถูก แจ็ค รัสเซลล์ ย่ำระหว่างเกม ก่อนที่คานจะหักและหล่นลงมาใส่หัวในแมตช์หลังจากนั้น

3. พานาจิโอติส ปอนติกอส (vs อายิออส อธานาซิออส, 2007)
แม้แต่ อาร์ชี่ ธอมป์สัน ของออสเตรเลีย (คนที่เราจะกล่าวถึงหลังจากนี้) ซึ่งครองสถิติโลกในระดับทีมชาติคงฝันว่าจะกระซวกตาข่ายได้อย่างปอนติกอส ศูนย์หน้าของโอลิมปอส ไซโลฟากูบ้าง โดยในลีกดิวิชั่น 3 ของไซปรัส
เมื่อปี 2007 ไซโลฟากู ที่เดา ๆ ว่าคงตั้งชื่อตามอย่างไซโลโฟนที่เป็นระนาดฝรั่ง ได้ถล่มเอสอีเค อายิออส อธานาซิออส แบบยับเยิน 24-3 ซึ่งประตูส่วนใหญ่ได้มาจากการจบสกอร์ของปอนติกอสที่กดไป 16 ตุง ในครึ่งแรก
เขาทำได้เพียงแค่ 4 แต่มารัวอีกหนึ่งโหลหลังจากหมดพักครึ่ง ซึ่งประตูในครึ่งหลังได้มาในนาทีที่ 47, 50, 55, 56, 61, 68, 75, 76, 83, 86 และ 87 เล่นเอาบรรดาแนวรับของอธานาซิออสถึงกับคอตกไปตาม ๆ กัน และนั่นก็เพียงพอ
ที่จะทำให้ปอนติกอสทำสถิติโลกในระดับสโมสรเทียบเท่ากับ สเตฟาน สตานิโอ ที่ยิง 16 ลูกให้กับราซิ่ง คลับ ในเฟร้นช์คัพที่เจอออบรี้ อัสตูรีส์ เมื่อปี 1942

4. โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ (vs เรอัล มาดริด, 2013)
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เลวายิงสลุตคู่แข่งได้อย่างในเกมกับโวล์ฟสบวร์ก โดยเจ้าตัวเคยยิง 4 ลูกให้กับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบรองชนะเลิศที่ปะทะแข้งกับเรอัล มาดริด เมื่อปี 2013 และที่น่าเหลือเชื่อก็คือ
เขาทำแฮตทริกโดยใช้เวลาไม่ถึง 4 นาทีได้ 2 ครั้งในระยะเวลาห่างกันแค่ 3 เดือน ซึ่งศูนย์หน้าทีมชาติโปแลนด์กด 3 ตุงในเวลา 3 นาที 59 วินาทีในการเจอกับจอร์เจียเมื่อเดือนมิถุนายน ก่อนที่จะทำได้เร็วกว่าเดิม 40 วินาที
ในการรัว 3 ลูกแรกในเกมกับโวล์ฟสบวร์ก จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่แฮตทริกสุดเร็วจี๋ของเขาจะกลายเป็นสถิติใหม่ของบุนเดสลีกา

5. ดีเตอร์ มุลเลอร์ (vs แวร์เดอร์ เบรเมน, 1977)
มุลเลอร์ ถือครองสถิตินักเตะที่ยิงในนัดเดียวสูงที่สุดในบุนเดสลีกาตอนนี้ โดยยิงได้มากกว่าเลวานดอฟสกี้อยู่ 1 ลูก โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในนัดที่โคโลญจน์เจอกับแวร์เดอร์ เบรเมน เมื่อปี 1977 ซึ่งเจ้าตัวทะลวงตาข่ายได้
ในนาทีที่ 12, 23, 32, 52, 73 และ 85 น่าเสียดายที่ไม่มีวิดีโอในนัดดังกล่าวเนื่องจากตากล้องสไตรก์ในช่วงนั้น ทำให้เราอดเห็นประตูที่ 4 ของเขาซึ่งเป็นลูกยิงตีลังกากลับหลังระยะ 110 หลา รวมถึงลูกที่ 5 ที่ได้มาจาก
ลูกตอกส้นอันสุดมหัศจรรย์ด้วยเช่นกัน

6. อาร์ชี่ ธอมป์สัน (vs อเมริกัน ซามัว, 2001)
ธอมป์สัน กดไปทั้งสิ้น 28 ประตูจาก 54 นัดในการรับใช้ทีมชาติออสเตรเลีย ซึ่ง 13 ลูกจากทั้งหมดมาจากเกม ๆ เดียวในปี 2001 เขายิงเยอะซะจนคนทำหน้าที่เปลี่ยนสกอร์บอร์ดนับผิดให้เครดิตเขาเป็น 14 ลูกในตอนแรก
มีผู้ชมเพียง 3,000 คนที่เข้ามาเป็นสักขีพยานในเกมประวัติศาสตร์ที่คอฟฟส์ ฮาร์เบอร์ ซึ่งอเมริกัน ซามัว โดนยำเละ 31-0 ซึ่งรายงานหลังเกมระบุให้จำกัดความว่า “ออสเตรเลียลงเตะก็เหมือนไม่ได้ลง” ซึ่งนี่คงเป็นก็รายงานข่าว
ที่ให้ความสำคัญน้อยที่สุดในศตวรรษเลยก็ว่าได้ (และนั่นทำให้มีการวางระบบรอบคัดเลือกใหม่เพื่อสกรีนทีมปลาซิวปลาสร้อยมากขึ้น) โดยธอมป์สันเริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป เขาเบิกสกอร์แรกในนาทีที่ 12
และบวกลูกที่ 2 ของตัวเองไม่ได้จนกระทั่งนาทีที่ 23 แต่จากนั้นประตูก็ไหลมาเทมาในนาทีที่ 27, 29, 33, 37, 42 และ 45 ทำให้หมดครึ่งแรกเขาซัดไป 8 ตุง ก่อนจะทำได้อีกในนาทีที่ 56, 60 และ 65 แล้วคงจะไปกินข้างเที่ยง
หรือทำอะไรสักอย่างก่อนจะกลับมาปิดจ๊อบในนาทีที่ 85 กับ 88 เก็บยอดรวมไปทั้งสิ้น 13 ประตู

7. โจ เพย์น (vs บริสตอล โรเวอร์ส, 1936)
หลายสิ่ง ๆ เกิดขึ้นอย่างพิลึกพิลั่นในฤดูกาล 1935/36 อย่างแรกคือ เท็ด เดรก ทำคนเดียว 7 ลูกให้อาร์เซนอลถล่มแอสตัน วิลล่า 7-1 และเขายังเป็นคนเดียวในลีกสูงสุดที่ยิงได้มากขนาดนี้ จากนั้น โรเบิร์ต “บันนี่” เบลล์ ก็กลายเป็น
คนเดียวในลีกอังกฤษที่ซัด 9 ตุงในนัดที่ทรานเมียร์ โรเวอร์ส อัดโอลด์แฮม แอธเลติก 13-4 เรียกได้ว่ายิงจนปวดเท้าเลยทีเดียว จริง ๆ เขาน่าจะยิงได้ 10 ลูกด้วยซ้ำหากไม่พลาดจุดโทษเสียก่อน ซึ่งตรงข้ามกับเพย์นที่สามารถทะลวง
ตาข่ายได้ถึงเลข 2 หลักผ่านนายด่านบริสตอล โรเวอร์ส ในนัดที่ลูตันชนะ 12-0 ซึ่งเขาไม่ใช่ศูนย์หน้าธรรมชาติเสียด้วยซ้ำ โดยก่อนหน้านั้นนักเตะอเนกประสงค์รายนี้ลงเล่นเพียงแค่ 4 นัดให้กับลูตันในซีซั่นดังกล่าว ซึ่งทั้งหมด
เป็นตำแหน่งฮาล์ฟขวา (เทียบเท่ากับแบ็คขวาในปัจจุบัน) และไม่เคยเล่นศูนย์หน้าให้กับสโมสรมาก่อนเลย ที่น่าประหลาดใจก็คือเขาทำได้ 10 ประตูทั้งที่ถูกเลือกให้ยืนเป็นศูนย์หน้าจำเป็นในนัดแรกในรอบ 7 เดือนของตัวเอง
และหลังจากนั้นก็ไม่เคยกลับไปยืนเป็นฮาล์ฟขวาอีกเลย

8. โอเล็ก ซาเลนโก้ (vs แคเมอรูน, 1994)
อาชีพการค้าแข้งของ ซาเลนโก้ ไม่มีอะไรให้น่าจดจำเป็นพิเศษ มันดำเนินอย่างค่อยเป็นค่อยไปและเขาเองก็ไม่ได้ทำประตูเป็นกอบเป็นกำให้กับต้นสังกัดอย่าง เซนิต, ดินาโม เคียฟ, บาเลนเซีย และเรนเจอร์ส แต่อยู่ ๆเจ้าตัว
ก็มายิงคนเดียว 5 ประตูให้รัสเซียในเกมฟุตบอลโลก 1994 กับแคเมอรูน บวกกับจุดโทษในเกมกับสวีเดนทำให้ซาเลนโก้คว้ารางวัลรองเท้าทองคำประจำทัวร์นาเม้นต์ร่วมกับ ฮริสโต้ สตอยช์คอฟ ถึงแม้ว่าทีม “หมีขาว”
จะจอดป้ายตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มก็ตาม โดยซาเลนโก้ไม่เคยยิงให้กับทีมชาติได้มาก่อนและก็ทำไม่ได้อีกเลยนับตั้งแต่นั้น เขาทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวังในช่วงที่ค้าแข้งกับเรนเจอร์สที่เขาให้คำจำกัดความว่า “น่าเบื่อมาก”
ก่อนที่จะกลายมาเป็นกุนซือทีมฟุตบอลชายหาดของยูเครนในเวลาต่อมา

9. โฮเซ หลุยส์ ชิลาเวิร์ต (vs เฟร์โร คาร์ริล ออยสเต้, 1999)
3 ลูกในเกมเดียวอาจเรียกไม่ได้เต็มปากนักว่าทำประตูได้เป็นกอบเป็นกำ แต่ถ้าบอกว่ามันมาจากผู้รักษาประตูล่ะ? โดยผู้รักษาประตูจอมเพี้ยนชาวปารากวัยผู้มีฉายาว่า “เอล บูลด็อก” (เราคงไม่ต้องแปลความหมายให้คุณล่ะมั้ง?)
ยิงได้ 67 ลูกตลอดอาชีพค้าแข้งของเขา ซึ่งต้องขอบคุณสกิลในการยิงฟรีคิกและจุดโทษของเขา ในปี 1999 ขณะที่ลงเล่นให้กับเวเลซ ซาร์สฟิลด์ ต้นสังกัดอาร์เจนไตน์เจอกับเฟร์โร คาร์ริล ออยสเต้เขายิงจุดโทษ 3 ลูก
ในเกมที่ชนะ 6-1 อย่างไรก็ตามชิลาเวิร์ตเป็นที่รู้จักมากกว่าในเรื่องของความมุทะลุ ซึ่งในวิกิพีเดียได้ระบุไว้ในประวัติของเขาว่า “เคยประเคนหมัดใส่นักเตะอย่าง ฟาอุสติโน่ อัสปริย่า และ ดีเอโก้ มาราโดน่า มาแล้ว”

10. แม็กนุส อาร์วิดส์สัน (vs แลนด์สโครน่า, 1995)
ถ้าคุณอยากเห็นแฮตทริกแบบรวดเร็วทันใจโดยที่ไม่ต้องไปพึ่งเลวานดอฟสกี้ อาร์วิดส์สันคือคำตอบ โดยในเกมดิวิชั่น 2 ของสวีเดนเมื่อปี 1995 เขายิง 3 ลูกรวดในเวลาแค่ 89 วินาทีให้กับฮาสเซิลโฮล์มในนัดที่เจอกับแลนด์สโครน่า
“มันมีเวลาห่างกันนิดเดียวระหว่างตอนคิกออฟกับทำประตูได้” อาร์วิดส์สันกล่าวหลังจากนั้น ซึ่งประตูดังกล่าวช่วยให้ฮาสเซิลโฮล์มพลิกกลับมาชนะ 5-3 และรอดพ้นการตกชั้น ก่อนที่จะย้ายไปอยู่เยอรมันกับฮันซ่า รอสต็อค
และติดทีมชาติสวีเดน 2 นัด น่าผิดหวังที่เขายิงให้ทัพ “ไวกิ้ง” ไม่ได้

ระบบฟุตบอลทุนนิยม ทำเอาเด็กท้องถิ่นไม่ได้เกิด

ระบบฟุตบอลสมัยนี้ต้องบอกเลยว่าเป็นสิ่งที่แยกออกจากกันไม่ได้เลยระหว่าง กีฬากับธุรกิจ แน่นอนว่ามันทำให้กีฬาได้ถูกพัฒนาขึ้นไปด้วยเทคโนโลยีและกำลังเงินที่เพิ่มเข้ามา แต่สิ่งที่หายไปแล้วเราต้องยอมรับมันก็คือการสูญหายไปของการดันเด็กท้องถิ่นจากเยาวชนสู่ทีมชุดใหญ่ สาเหตุเป็นเพราะอะไร เราคัดมาเน้นๆสามดอกด้วยกัน

การเข้ามาเทคโอเวอร์พร้อมกับเงิน

อย่างแรก เมื่อสโมสรฟุตบอลเปลี่ยนมือจากเจ้าของเดิมที่ทำขึ้นด้วยใจที่รักฟุตบอลอย่างเดียว เป็นเจ้าของที่รักฟุตบอลด้วยแต่ต้องทำธุรกิจไปด้วย เมื่อเข้าไปเทคโอเวอร์ก็จะต้องเทเงินลงไปให้กับทีมด้วย เมื่อทีมมีเงินการซื้อตัวนักเตะก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องยากเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ทั้งเงินค่าตัวและเงินค่าเหนื่อยเดี๋ยวนี้แต่ละสโมสรต่างก็จ่ายได้ไม่อั้นกันทั้งนั้น

ความสำเร็จแบบเร่งด่วน

เมื่อมีการลงทุนลงไป ก็ต้องมีการหวังกำไรเกิดขึ้นด้วย นอกจากกำไรในเรื่องของการขายตั๋วแล้ว กำไรที่เจ้าของทีมอยากได้ก็คือเรื่องของความสำเร็จแบบเร่งด่วน ต้องได้ถ้วยอะไรบ้างเท่านั้นเท่านี้ปี เมื่อความต้องการมาแบบเร่งด่วนก็ทำให้ผู้จัดการทีมไม่อยากเสี่ยงที่จะใช้เด็กท้องถิ่นที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองได้เลยมาเล่น เพราะอาจจะทำให้เกมแพ้ได้ สุดท้ายเมื่อขาดโอกาสก็เลยหมดโอกาสในการเข้าสู่ทีมชุดใหญ่ไป

ราคานักเตะที่แพงเกินไป

สาเหตุสุดท้ายเป็นเรื่องของราคานักเตะที่ต้องบอกว่าแพงถึงแพงมาก ยิ่งหากเป็นเด็กท้องถิ่น(อังกฤษ)ด้วยแล้วราคานี่ต้องใช้คำว่า “แพงโคตร” เลยทีเดียว ซึ่งในราคาที่เท่ากันหรือแพงกว่านิดหน่อย แต่ละทีมสามารถไปซื้อนักเตะที่พิสูจน์ตัวเองมาแล้วในลีคอื่น หรือ ลีคเดียวกันแต่อยู่ทีมอื่นได้สบาย จึงไม่แปลกที่จะทำให้เด็กท้องถิ่นหากไม่เจ๋งจริง หรือ มีดวงประกอบด้วย การจะได้ขึ้นมาเล่นทีมชุดใหญ่อาจจะเป็นไปได้ยาก จนถึงยากที่สุด

เก็บตกเกมเลเวอร์คูเซ่น เปิดบ้านรับ บาเยิร์น มิวนิค

sbobet
เกมบุนเดสลีก้ารอบสัปดาห์ที่ผ่านมาเชื่อว่าเกมที่แฟนบอลรอดู และ แฟนเฉพาะกิจรอแช่งกันอยู่ก็คือ เกมที่เลเวอร์คูเซ่น จะได้เปิดบ้านรับมือ บาเยิร์น มิวนิค เกมนี้มีความสำคัญของทั้งคู่ ฝั่งบาเยิร์น เกมนี้น่าจะยากที่สุดในเกมที่เหลือหากวัดจากอันดับของทีมที่เจอ หากเค้าเอาชนะมาได้อีกโอกาสจะคว้าแชมป์ก็ยาวไปถึง 85% เป็นอย่างน้อย เกมนี้มีประเด็นอะไรบ้าง
บาเยิร์น มิวนิค โดนเร็วแต่ไม่เสียสมาธิ
เกมนี้ต้องบอกว่า เลเวอร์คูเซ่น น่าเสียดายมากพวกเค้าไม่สามารถส่งนักเตะที่ฟอร์มร้อนแรง อย่าง ไค ฮาร์ตเวิรช์ได้จากอาการบาดเจ็บเล็กน้อย แต่ว่าพอเริ่มเกมไปได้สักพัก เป็นทาง เลเวอร์ขึ้นนำไปก่อนจากความผิดพลาดของบาเยิร์น มิวนิคที่เช็คล้ำหน้าพลาด ทำให้โดนหลุดไปยิงได้ นำ 1-0 ทีนี้เหมือนได้สติกลับมาหากเป็น เสือใต้ตอนต้นฤดูกาลโดนนำเร็วก่อนแบบนี้ พังกับพังลูกเดียว เพราะว่านักเตะจะหัวร้อน ลนลานไปหมด แต่คราวนี้กลับไม่เป็นแบบนั้น พวกเค้านิ่งพอที่จะใจเย็น ไม่ผลีผลาม แบบนี้แหละเล่นด้วยยากมาก พอเล่นด้วยความใจเย็นสุดท้ายเป็นทางเลเวอร์คูเซ่นที่พลาดกันเองจากการโดนขึงพรืดและกดดันอย่างต่อเนื่องจากเสือใต้จนโดนตีตื้นขึ้นมา 1-1 จากเกมสวนกลับที่จ่ายมาเฉียบคมมาก จ่ายทแยงขวางสนามมาแล้วหลุดยาวไปดวลเดี่ยวกับผู้รักษาประตูทุกอย่างก็จบ
เลเวอร์สมาธิแตก
แทนที่ขึ้นนำก่อนจะคุมเกมได้ แต่น่าเสียดายที่เลเวอร์คูเซ่น สมาธิแตกกระเจิงไปเลย เหมือนขึ้นนำแล้วยังขึงพรืดเล่นต่อ แถมไม่รัดกุมด้วย จนทำให้เกิดช่องว่างโดนตีเสมอ แล้วตามมาด้วยโดนนำ 2-1 พอโดนนำเหมือน เลเวอร์ธาตุไฟเข้าแทรก ยิ่งโหมบุกขึ้นไปอีกเพื่อทวงประตูคืน สุดท้ายกลายเป็นหลังลอย โดนลงโทษความผิดพลาดตรงนั้นย้ำไป ลูก 2,3,4 เรื่องดีอย่างเดียวเป็นการลงสนามของเด็กวัยกระเตาะอย่าง ฟลอเรียน เวิตซ์ ที่ยิงประตูของตัวเองได้ในนาทีที่ 89 เป็นประตูปลอบใจไป ส่วนตัวอยากให้จับตาไอ้หนูคนนี้ให้ดี เค้ามีโอกาสขึ้นมาเป็นดาวรุ่งที่น่าจับตามองคนต่อไปมาก
อยากชนะต้องเป็นฝ่ายคุมเกม
ไม่มีใครอยากแพ้ในเกม ถ้าอยากชนะ ต้องเป็นฝ่ายคุมเกมให้ได้ ลองมาแทงบอลกับ sbobet ที่ให้ท่านสามารถคุมการวางเดิมพันได้ง่ายค่ปลายนิ้ว ฝาก ถอน โอน จ่าย ง่ายดายเหมือนปอกกล้วย แทงบอลให้สนุกต้องแทงบอลออนไลน์กับ sbobet เท่านั้นที่อยู่ในใจทุกคน